Dr.Sumalai Kongkaew
สมุนไพรไทยและความรู้เรื่องการรักษาสุขภาพรวม 65 เรื่อง
1. ดอกอัญชันบำรุงเส้นผม บำรุงสายตา ดูแลระบบการทำงานเส้นโลหิดฝอย | 2. พริกขี้หนูจากวิกิพีเดีย ผลมีรสเผ็ดร้อน ใช้ขับลม ขับปัสสาวะ แก้ท้องอืด ผลดองสุราใช้ทาแก้ฟกช้ำดำเขียว ต้นมีรสเผ็ด ใช้ขับลม แก้กษัย รากใช้ฝนกับมะนาวแทรกเกลือ เป็นยากวาดคอ ใบใช้แก้หวัด ตำใบสดผสมกับดินสอพองพอกขมับแก้ปวดศีรษะได้ | 3. ใบชะพลูจากวิกิพีเดีย ชะพลูเป็นพืชที่มีสรรพคุณทางยา ดอกทำให้เสมหะแห้ง ช่วยขับลมในลำไส้ รากขับเสมหะให้ออกมาทางระบบขับถ่าย ขับลมในลำไส้ ทำให้เสมหะแห้ง ต้นขับเสมหะในทรวงอก ใบมีรสเผ็ดร้อน ทำให้เจริญอาหาร ขับเสมหะ ใบ ต้น และดอกใช้ขับเสมหะ รากใช้ขับลม น้ำต้มทั้งต้นช่วยลดน้ำตาลในเลือดของกระต่ายที่เป็นเบาหวานได้ |
---|---|---|
4. กระชายจากวิกิพีเดีย : เป็นพืชที่ใช้เป็นส่วนผสมของอาหารโดยเฉพาะรากกระชาย ใช้เป็นเครื่องจิ้มหรือเป็นส่วนประกอบของน้ำพริกแกงโดยเฉพาะแกงที่ใส่ปลา เช่น แกงป่า ต้มโฮกอือ กระชายดับกลิ่นคาวของปลาได้ดี | 5. กระชายดำหง้าใต้ดิน - มีรสเผ็ดร้อนขม แก้ปวดท้อง มวนในท้อง ท้องอืดท้องเฟ้อ บำรุงกำลัง บำรุงกำหนัด แก้กามตายด้าน เป็นยารักษาริดสีดวงทวาร เหง้าและราก - แก้บิดมูกเลือด เป็นยาขับปัสสาวะ แก้ปัสสาวะพิการ ใช้เป็นยาภายนอกรักษาขี้กลาก ใบ - บำรุงธาตุ แก้โรคในปาก คอ แก้โลหิตเป็นพิษ ถอนพิษต่างๆ วิธีใช้และปริมาณที่ใช้ : แก้ท้องร่วงท้องเดิน ใช้เหง้าสด 1-2 เหง้า ตำหรือฝนเหง้าที่ปิ้งไฟแล้วกับน้ำปูนใส หรือคั้นให้ข้นๆ รับประทานครั้งละ 1-2 ช้อนแกง แก้อาการท้องอืด ท้องเฟ้อ จุกเสียด ปวดมวนในท้อง ใช้เหง้าและราก ประมาณครึ่งกำมื | 6. เพชรสังฆาตสรรพคุณของเพชรสังฆาต รักษาอะไรได้บ้าง รักษาริดสีดวง (วิจัยพบว่าประสิทธิภาพไม่ต่างกับยารักษาแผนปัจจุบัน (Daflon) แต่ราคาถูกกว่า) และยังดีในริดสีดวงที่มีการปวดและอักเสบ เพราะเพชรสังฆาตสามารถลดอักเสบ ลดปวดได้ และยังทำให้หลอดเลือดแข็งแรง จากสารฟลาโวนอยด์ที่พบในเพชรสังฆาต ปัจจุบันใช้เป็นยารักษารักษาหลัก ในผู้ป่วยริดสีดวงทวารหนักที่โรงพยาบาลเจ้าพระยาอภัยภูเบศร - บำรุงกระดูก ใช้แพร่หลายในหมอพื้นบ้านและหมออายุรเวท - เพิ่มมวลกระดูก - สมานกระดูกที่หัก โดยกระตุ้นการสร้างเซลล์กระดูก และลดอาการบวมและอักเสบไ |
7. กับ 6 อภินิหารผักลดความดันกระเทียม ขิง กระเจี๋ยบแดง ขึ้นฉ่าย บัวบก มะรุม | 8. กับ 6 อภินิหารผักฆ่าไขมันขิง กระเทียม สมอไทย ตรีผลา(สมอพิเภกและมะขามป้อม) ดอกคำฝอย | 9. กับ 4 อภินิหารผักฆ่าน้ำตาลมะระขี้นก ช้าพลู ผักเชียงดา ตำลึง |
10. ลูกยอสำหรับการทานยอเพื่อรักษากรดไหลย้อน สามารถทานเป็นน้ำลูกยอ 1-2 ช้อนโต๊ะ หรือทาน 1-2 แคปซูล ก่อนอาหาร 15-30 นาที เช้า กลางวัน เย็น | 11.กับ 6 สมุนไพรต้านพิษสัตว์ร้ายกระดูกไก่ดำ ตะขาบบิน เสลดพังพอน หอมแดง โลดทะนงแดง ตำลึง | 12. เถาวัลย์เปรียงห้ปัจจุบันเถาวัลย์เปรียงแคปซูลได้รับการบรรจุอยู่ในบัญชียาหลักแห่งชาติ โดยมีขนาดรับประทานอยู่ที่ ครั้งละ 500 มิลลิกรัม – 1 กรัม วันละ 3 ครั้ง หลังอาหาร ทานเวลามีอาการปวดเมื่อย หรือใช้เถาหั่นเป็นชิ้นๆ ตากแห้ง แล้วนำมาคั่วไฟให้หอม หรือจะไม่คั่วก็ได้ ใช้ประมาณ 1 กำมือ ใส่น้ำพอท่วม ต้มจากน้ำ 3 ส่วน เหลือครึ่งหนึ่ง กินมื้อละ 1 แก้ว หลังอาหาร เช้า กลางวัน เย็น |
13. สมุนไพรรักษาโรคกระเพาะอาหารผงขมิ้นผสมน้ำผึ้งชงกับน้ำอุ่น วุ้นสดว่านหางจระเข้ กล้วยน้ำว้าดิบฝานเป็นแว่นบางๆ ตากแดดอ่อนๆจนแห้ง กระเจี๊ยบเขียวฝักอ่อนตากแดด บดให้ละเอียด ใบเปล้าน้อย 1 กำมือ ต้ม 3 เอา 1 กิน ลูกยอ เพชรสังฆาต | 14. หญ้าดอกขาว..หมอข้างกาย ทางสบายเลิกบุหรี่ ในสมัยก่อนชาวบ้านจะใช้หญ้าดอกขาวแก้อาการติดบุหรี่ เพราะกินแล้วจะทำให้เหม็นบุหรี่และไม่อยากสูบอีก ภายหลังจึงมีผู้วิจัยมากมายทำการศึกษาฤทธิ์ของหญ้าดอกขาวในการเลิกบุหรี่ โดยมีผลการศึกษาตรงกันว่าหญ้าดอกขาวช่วยลดอัตราการสูบบุหรี่ได้ และหากใช้ร่วมกับการออกกำลังกาย จะช่วยลดบุหรี่ได้มากขึ้น รวมถึงหญ้าดอกขาวยังทำให้สมรรถภาพร่างกายดีขึ้น เลือดมีสารต้านอนุมูลอิสระเพิ่มขึ้น และทำให้ก๊าซพิษคาร์บอนมอนอกไซด์ในปอดลดลง ที่สำคัญคือไม่มีผลข้างเคียงจากการใช้หญ้าหมอน้อย สำหรับวิธีการใช้ | 16. หญ้าเทวดา...รักษามะเร็ง2 กลุ่มใหญ่ คือ 1. การใช้- เพื่อให้คุณภาพชีวิตของผู้ป่วยมะเร็งดีขึ้น ลดความทุกข์ทรมาน บางรายมีอายุยืนยาวมากขึ้น เพื่อช่วยลดอาการข้างเคียงของยาเคมีบำบัดหรือรังสีบำบัด ช่วยลดผลข้างเคียงเช่น อาการคลื่นไส้ อาเจียน เบื่ออาหาร แผลในปาก ปากแห้ง อ่อนเพลีย ปวดข้อและกล้ามเนื้อ ท้องเสีย ท้องผูก ผมร่วง และอาการไข้ 2. การใช้ในผู้ป่วยอื่นที่ไม่ใช่ผู้ป่วยมะเร็ง - เมื่อผู้ป่วยมีเม็ดเลือดขาวต่ำ อ่อนเพลีย น้ำหนักลด เมื่อใช้หญ้าปักกิ่ง พบว่าเม็ดเลือดขาวเพิ่มขึ้น น้ำหนักตัวเพิ่มขึ้น - ผู้ป่วยเป็นแผลเรื้อรัง แผลอักเ |
17. สมุนไพรทางเลือกรักษานิ่วในไตหญ้าหนวดแมว และ การดื่มน้ำมะนาววันละ 85 มิลลิลิตรต่อวัน มีประสิทธิภาพในการรักษานิ่วเทียบเท่ากับยาโพแทสเซียมซิเตรต โดยยาโพแทสเซียมซิเตรต มีรายงานสามารถลดการเกิดนิ่วได้ร้อยละ85 | 18. ขมิ้นชัน : มะเร็ง สมองเสือม โรคกขมิ้นชัน Curcuma longa Linn. Zingiberaceae ● รักษาโรคกระเพาะ กรดไหลย้อน ● ขับลม แก้ท้องอืด ● ต้านมะเร็ง ● ป้องกันการแพร่กระจายของเซลล์มะเร็ง ● ต้านอนุมูลอิสระ ต้านการอักเสบ ● ทำให้ภูมิคุ้มกันทำงานปกติ ช่วยเพิ่มภูมิคุ้มกัน ● ป้องกันอัลไซเมอร์ ● ป้องกันโรคหัวใจและหลอดเลือด ● ลดอาการแพ้ ลดผื่นคัน สมานผิว บำรุงผิว | 19. บัวบก ;บำรุงสมอง สมาธิดี ความจำดบำรุงสมอง สมาธิดี ความจำดั เรียนรู้เร็ว , ตำรายาไทย ใช้บัวบกเป็นยาแก้ช้ำใน ภายนอกเป็นยารักษาแผล ช่วยแผลหายเร็ว ขับปัสสาวะ แก้อ่อนเพลีย บำรุงกำลัง อายุวัฒนะ , การรักษาบาดแผล ทำให้แผลหายเร็วขึ้น มีฤทธิ์ระงับประสาท ลดความดันโลหิตสูง ขับปัสวะ ทำให้ภูมิคุ้มกันดีขึ้น ต้านการอักเสบ มีการทดสอบในหนู และมนเด็กพิเศษ พบว่า เมื่อับประทานบัวบกประจำ ทำให้มีการจดจำดีขึ้น ความจำดีขึ้น สมาธิดีขึ้นได้ |
20. ยาระบาย ชนิดนำ้ ผสมฝักคูณตำรับยาระบายน้ำฝักคูน ประกอบด้วย 1. เนื้อในฝักคูน 2. ตรีผลา ประกอบด้วย ผลสมอไทย ผลสมอพิเภก ผลมะขามป้อม 3. ใบมะกา ตำรับยาไทยใช้เป็นยาถ่ายเสมหะโลหิต 4. ดีปลี เพิ่มไฟธาตุในการย่อยอาหาร ลดการกำเริบของล 5. มะขามเปียก ความเปรี้ยวจะช่วยขับคูถเสมหะให้ลงสู่คูถทวาร | 21. มะขามป้อม แก้ไอ บำรุงเสียงนอกจากประโยชน์ในการแก้ไอ ชุ่มคอแล้ว ในตำรายาของอินเดียระบุให้มะขามป้อม เป็นยาอายุวัฒนะ พบว่าช่วยในการปกป้องตับไม่ให้ตับถูกทำลาย จากการศึกษาพบว่ามะขามป้อมสามารถอสดงฤทธิ์ปกป้องตับด้วยกลไกการต้านปฏิกิริยาออกซิเดชั่น หรือจะพูดง่ายๆคือมรคุณสมบัติเป็นสารต้านอนุมูลอิสระนั่นเอง นอกจากตับยังพบว่าช่วยปกป้องไตได้อีกด้วย | 22. ยาหอม ....๑). ยาพื้นฐานเป็นสมุนไพรที่มีกลิ่นหอม ส่วนใหญ่มีรสสุขุม คือไม่ร้อนหรือเย็นเกินไป ได้แก่ โกฐทั้ง ๕ เทียนทั้ง ๕ กฤษณา ขอนดอก กระลำพัก อบเชย .....๒). สมุนไพรเพิ่มการทำงานของธาตุลม เป็นตัวยารสร้อนหรือรสเผ็ดร้อน เช่น สมุลแว้ง สนเทศ ว่านน้ำ กระชาย เปราะหอม เป็นต้น .....๓). ยาปรับธาตุ ซึ่งมักนำมาจากพิกัดเบญจกูล (สะค้าน ช้าพลู ขิง ดีปลี เจตมูลเพลิงแดง) หรือ พิกัดตรีผลา (สมอพิเภก สมอไทย มะขามป้อม) .....๔). ส่วนประกอบ ที่ใส่เฉพาะตำรับ เพื่อใช้เฉพาะอาการต่างๆ |
23. ยาหอม ....ยาหอมเทพจิตร ใช้แก้ลม บำรุงหัวใจ โดยผสมน้ำดอกไม้เทศ ยาหอมทิพโอสถ แก้ลมวิงเวียน แก้ลมบาดทะจิต ใช้น้ำดอกมะลิเป็นน้ำกระสายยา ยาหอมอินทจักร แก้คลื่นเหียนอาเจียน โดยใช้น้ำลูกผักชี หรือเทียนดำต้ม หรือน้ำสุก แก้ลมจุกเสียด ใช้น้ำขิงต้ม ยาหอมนวโกฐ แก้ลมคลื่นเหียน อาเจียน ใช้น้ำลูกผักชี เทียนดำต้ม แก้ลมปลายไข้ ใช้ก้านสะเดา ลูกกระดอม และบอระเพ็ด ต้มเอาน้ำ ถ้าหาน้ำกระสายไม่ได้ใช้น้ำสุกแทน | 24. สมุนไพร พิฆาตน้ำหนักหญ้าดอกขาว ตรีผลา เพชรสังฆาต | 25. ปัญหาสิว1. คลีนซิงออยล์น้ำมันรำข้าว 2. เจลล้างหน้าเปลือกมังคุด 3. โทนเนอร์สมุนไพรบำรุงผิว 4. ผลิตภัณฑ์บำรุงผิวหน้า 5. เจลแต้มสิว เฮอร์บัล แอคเน่ เจล 6. ผงพอกหน้าสมุนไพรแท้ |
26. ผิวกระจ่างใสสุขภาพดี ตามพื้นฐานผ1.คลีนซิงออยล์น้ำมันรำข้าว 2. ผลิตภัณฑ์ล้างหน้า-ทำความสะอาดผิวกาย เจลล้างหน้ามะขาม น้ำผึ้ง 3. โทนเนอร์สมุนไพรบำรุงผิว 4. ผลิตภัณฑ์บำรุงผิวหน้า 5. ผลิตภัณฑ์ผลัดเซลล์ผิวหน้าและกาย 6. แป้งพัฟว่านหอม | 27. โรคมะเร็ง / เนื้องอกแนะนำสมุนไพรทางเลือกเสริมคือ ให้ทานหญ้าปักกิ่ง 3 แคปซูล ก่อนอาหารเช้า และ 3 แคปซูล ก่อนนอน ขมิ้นชัน 3 แคปซูล หลังอาหารเช้า และ 3 แคปซูล ก่อนนอน ร่วมกับดื่มชาชงรางจืด แทนน้ำ เพื่อล้างพิษ สัปดาห์ละ 1 วัน สามารถทานต่อเนื่องได้เรื่อยๆ โดยอาจทาน 3-6 เดือน แล้วพัก 1 เดือน หากคุณมีอาการเย็น หนาว ท้องอืดมาก ให้คุณทานน้ำขิงเสริม หรือหยุดหญ้าปักกิ่ง แล้วกลับมาทานใหม่ เมื่ออาการหนาวดีขึ้น เพราะว่าหญ้าปักกิ่งเป็นสมุนไพรฤทธิ์เย็น โดยหากคุณเป็นมะเร็งในขั้นต้น หรือยังมีทางหายขาดจากการรักษาแผนปัจจุบัน ก็ขอให้ยึ | 28. หมามุ่ย ยาบำรุงกำลังมีสรรพคุณในการบำรุงกำลัง บำรุงร่างกาย บำรุงสมรรถภาพทางเพศ แก้ปวดเมื่อย ลดความเครียด ทำให้สดชื่น กระปรี้กระเปร่า สามารถรับประทานได้ทั้งชายและหญิง โดยมีงานวิจัยในสัตว์ทดลอง พบว่าเมล็ดหมามุ่ยช่วยเพิ่มความต้องการและสมรรถภาพทางเพศ โดยเพิ่มความถี่ในการผสมพันธุ์ขึ้นเป็นสิบเท่า รวมทั้งยืดระยะเวลาในการมีเพศสัมพันธ์ให้นานขึ้น ลดอาการหลั่งเร็ว และยังเพิ่มปริมาณฮอร์โมนเพศ |
29. กับ 5 วิธีบำบัดไมเกรนด้วยวิถีธรรขิง....สมุนไพรคลายอาการปวดไมเกรน | 15. โรคมือเท้าปากเป็นโรคติดต่อที่พบบ่อยในเด็กโดยเฉพาะเด็กอายุน้อยกว่า 5 ปี มักมีการระบาดช่วงฤดูฝน ตอนนี้โรงพยาบาลเจ้าพระยาอภัยภูเบศร แพทย์มีการสั่งใช้กลีเซอรีนพญายอในเด็กที่เป็นมือเท้าปากเพื่อป้ายแผลในปาก โดยมีผลลดการอักเสบ มีผลการรักษาที่ดีและมีความปลอดภัยสูง สาเหตุของโรคนี้เกิดจากเชื้อไวรัสสามารถติดต่อโดยตรงจากการสัมผัสน้ำมูก น้ำลาย และอุจจาระของผู้ป่วย สามารถติดต่อโดยอ้อมจากการสัมผัสผ่านของเล่น มือผู้เลี้ยงดู น้ำและอาหารที่ปนเปื้อนเชื้อ โรคมือเท้าปากมักระบาดในโรงเรียน ชั้นอนุบาลเด็กเล็ก หรือสถานรับเลี้ยงเด็ก | 30. เพชรสังฆาต เถาวัลย์เปรียง ยอ กับแนะนำให้ทาน ยอแคปซูลครั้งละ 1 แคปซูล วันละ 2 ครั้ง ก่อนอาหารเช้า และ เย็น ยอจะช่วยลดการปวด การอักเสบ และการเสื่อมของข้อ ร่วมกับเพชรสังฆาต ครั้งละ 2 แคปซูล วันละ 2 ครั้ง หลังอาหารเช้า เย็น เพชรสังฆาตจะช่วยลดการปวด การอักเสบ และยังช่วยเพิ่มมวลกระดูกให้หนาแน่นขึ้น หากท่านมีอาการปวด เส้นตึง เอ็นยึด ให้ทานเถาวัลย์เปรียงเสริม ครั้งละ 2 เม็ด วันละ 3 ครั้ง หลังอาหาร เช้า กลางวัน เย็น จะช่วยคลายเส้น แก้ปวดเมื่อย |
31. ทำไงดี ไม่อยากท้องผูก.แอ๊ปเปิ้ล กล้วย ลูกพรุน กระเจี๊ยบเขียว มะละกอสุก ทานยาต้มตรีผลา ประกอบด้วยสมอไทย สมอพิเภก มะขามป้อม ปรับสมดุลลำไส้ วันละ 1 แก้ว ก่อนนอน สามารถทานได้ต่อเนื่องทุกวัน ตรีผลาเป็นสมุนไพร รู้ปิดรู้เปิด มีฤทธิ์ระบายและหยุดได้ถ่ายเอง จากสมดุลความเปรี้ยวฝาดในตัวตำรับยา และยังมีสรรพคุณอื่นๆ อีกมากมาย เช่น มีสารต้านอนุมูลอิสระสูงมาก ล้างพิษในเลือดและตับ (detoxifying actions) ลดไขมันในเลือด ต้านความชรา ชะลอความเสื่อมของตา หรือหากท้องผูกมาก อาจต้องใช้ตำรับยาล้างลำไส้ กรณีท้องผูกป็นครั้งคราว ยาสมุนไพรที่มีฤทธ | 32.สมุนไพรที่ต้องระวังในผู้ป่วยโรคไตหญ้าไผ่น้ำ มะเฟือง ลูกเนียง | 33. บัวบก หรือ ผักหนอกถูกใช้มาเป็นเวลากว่าพันปี โดยเป็นยารักษาโรคทางผิวหนัง เช่น เรื้อน ผื่นผิวหนัง ผิวหนังอักเสบ สะเก็ดเงิน ท้องเสีย เป็นไข้ ลดความเครียด เพิ่มการเรียนรู้ บำรุงความจำ ทำให้อายุยืน ลดความดันโลหิต ในศาสตร์อายุรเวทอินเดีย มีการใช้บัวบกสำหรับช่วยฟื้นฟูระบบประสาทและเซลล์สมอง ในประเทศแถบประเทศตะวันออก หรือบ้านเรามีการใช้บัวบกรักษาอารมณ์ผิดปกติ เช่น ซึมเศร้าลดการอักเสบ บวม แก้ชํ้านอกชํ้าใน |
34.สมุนไพรมีดีอย่างไรสมุนไพรมีดีอย่างไร | 35. สมุนไพรคู่ใจวัยทองสมุนไพรคู่ใจวัยทอง สถิติการเป็นโรคต้อกระจกในคนไทยอายุประมาณ 55 ปีขึ้นไปมีโอกาสเป็นต้อกระจกประมาณ 50 % แต่อาจจะยังไม่มีอาการตามัวจนกระทั่งอายุ 65 ปีขึ้นไป เมื่ออายุ 75 ปีขึ้นไป เกือบทุกคนเป็นต้อกระจก แต่คุณทราบหรือไม่ว่าต้อกระจกสามารถป้องกันได้ ซึ่งพบว่าสมุนไพรหลายชนิดสามารถป้องกันโรคต้อกระจกได้ เช่น ขมิ้นชัน ฟักข้าว. | 36. ขมิ้นชัน...ทองคำแห่งสุขภาพของคนไขมิ้นชัน...ทองคำแห่งสุขภาพของคนไทย |
37. ต้อกระจก กับ ขมิ้นชัน ฟักข้าว.ต้อกระจก กับ ขมิ้นชัน ฟักข้าว. | 38. ฟักข้าว กับ ผู้ชายผลไม้จากสรวงสวรรค์ (Fruit from Heaven) คือ ฟักข้าว หรือในต่างประเทศ เรียกว่า ผลแกก (Gac) มีสารอาหารหลายอย่าง เช่น ไลโคปีน สูงมาก ประมาณ 10 เท่าของมะเขือเทศ ซึ่งช่วยลดความเสี่ยงของการเกิดโรคหลอดเลือดหัวใจ ลดความเสี่ยงการเกิดมะเร็ง ลดค่า prostate specific antigen (PSA) ซึ่งเป็นค่าบ่งชี้สุขภาพของต่อมลูกหมาก ที่อาจเพิ่มขึ้นในคนที่เป็นมะเร็งต่อมลูกหมาก มีประโยชน์ต่อสุขภาพของดวงตา และผิวหนังมีฤทธิ์ต้านการอักเสบ ต้านอนุมูลอิสระ รักษาแผลในกระเพาะอาหาร (โดยมีผลเพิ่มการสร้างเส้นเลือด) ลดระดับน้ำตาลในเลือด | 39. ตรีผลา (สมอไทย+สมอพิเภก+มะขามป้อล้างพิษในเลือดและตับ (detoxifying actions) ลดไขมันในเลือด ช่วยระบาย ต้านอนุมูลอิสระ เสริมภูมิคุ้มกัน ต้านความชรา ชะลอความเสื่อมของตา ลดระดับฮอร์โมนความเครียด ลดกระบวนการอักเสบในร่างกาย ลดการอักเสบของข้อ แก้ปวดได้ดีเทียบเท่ายาแผนปัจจุบัน (indomethacin) ป้องกันฟันผุ (ประสิทธิภาพเทียบเท่ากับยา chlorhexidine) เป็นพิษต่อเซลล์มะเร็ง แต่ไม่มีผลต่อเซลล์ปกติ โดยมีการศึกษาในเซลล์มะเร็งเต้านมและตับอ่อนของคน มีฤทธิ์ฆ่าเชื้อแบคทีเรียหลายชนิด (สกัดเชื้อจากผู้ป่วยเอชไอวี) ลดระดับน้ำตาลในเลือด ป้องกันการทำลายขอ |
40. รางจืด...สมุนไพรล้างพิษ.....ต้านพิษยาฆ่าแมลง ต้านพิษสุรา โดยป้องกันการตายของเซลล์ตับจากพิษแอลกอฮอล์ ลดค่าเอนไซม์ตับ ลดพิษโลหะหนัก | 41.ฟ้าทลายโจรองค์การอนามัยโลก (WHO) ยอมรับการใช้ฟ้าทะลายโจรในการรักษาไข้หวัดใหญ่ และไซนัสอักเสบ | 42. มะรุมมะรุม ดียังงัย? |
43. บอระเพ็ดกับมะระขี้นกบอระเพ็ดกับมะระขี้นก ใครลดน้ำตาลดีกว่ากัน | 45.jpg | 45. ฟ้าทะลายโจร...ความหวังใหม่ของผู้มีการศึกษาการใช้ฟ้าทะลายโจร ที่มีสารออกฤทธิ์ทางยาคือ แอนโดรกราโฟล์ 30 มิลลิกรัม วันละ 3 เวลา เป็นเวลา 14 สัปดาห์ เปรียบเทียบกับยาหลอก ในผู้ป่วยข้ออักเสบรูมาตอยด์เรื้อรัง โดยผลการศึกษาพบว่าฟ้าทะลายโจร สามารถลดได้ทั้งจำนวนและความรุนแรงของการตึงและการบวมของข้อ โดยกลไกการออกฤทธิ์ของฟ้าทะลายโจร น่าจะมาจากการที่มีผลลดลดการสร้างสารสื่ออักเสบในร่างกาย เช่น NF-kB ซึ่งเป็นสารที่เป็นต้นกำเนิดการเกิดพยาธิสภาพต่างๆ ของข้ออักเสบรูมาตอยด์ |
46. บัวบก สมุนไพรบำรุงไตรักษาปัสสาวะกะปริบกะปรอย ภาวะกระเพาะปัสสาวะบีบตัวไวเกิน รักษาทางเดินปัสสาวะอักเสบ กระเพาะปัสสาวะอักเสบ | 47. กับ 12 อาหาร เสริมสารหลับสบายน้ำผึ้ง กล้วย ผักคะน้า นมสด โยเกิร์ต ขี้เหล็ก เม็ดบัว อินทผลัม ลูกเดือย ชาคาโมไมล์ ผักกาดหอม ข้าวเหนียว | 48. เถาวัลย์เปรียงลดการแพร่กระจายของพบว่า เถาวัลย์เปรียง มีฤทธิ์ยับยั้งการเคลื่อนที่ของเซลล์มะเร็งหลายชนิด เช่น มะเร็งเต้านม มะเร็งต่อมลูกหมาก รวมทั้งมะเร็งท่อน้ำดี มีฤทธิ์ต้านอักเสบทั้งแบบเฉียบพลันและเรื้อรัง นอกจากนี้ยังมีฤทธิ์ต้านอนุมูลอิสระ ฤทธิ์ต้านการเกิดหลอดเลือดใหม่ ฤทธิ์เพิ่มภูมิคุ้มกันของร่างกาย ซึ่งเป็นที่ยอมรับกันแล้วว่ากลไกเหล่านี้เป็นกลไกที่เกี่ยวข้องกับพยาธิกำเนิดและการแพร่กระจายของมะเร็งหลายชนิด จากฤทธิ์ดังกล่าวทำให้เชื่อว่าเถาวัลย์เปรียงน่าจะมีศักยภาพในการลดการแพร่กระจายของเซลล์มะเร็งท่อน้ำดีได้ |
49. ผู้ป่วยเอดส์ลูกใต้ใบ ฟ้าทะลายโจร ขมิ้นชัน มะระขี้นก และ ฟ้าทะลายโจร เถาวัลย์เปรียง หญ้าปักกิ่ง พลูคาว สมุนไพรเสริมภูมิคุ้นกันกับผู้ป่วยเอดส์ ปัจจุบันมีสมุนไพรไทยหลายชนิดที่อาจเป็นแนวทางเสริมการรักษาให้กับผู้ป่วยเอดส์ได้ เช่น สมุนไพรที่ช่วยยับยั้งการแบ่งตัวของไวรัส เช่น ลูกใต้ใบ ฟ้าทะลายโจร ขมิ้นชัน มะระขี้นก สมุนไพรที่ช่วยเสริมสร้างภูมิคุ้มกันให้ร่างกาย เช่น ฟ้าทะลายโจร เถาวัลย์เปรียง หญ้าปักกิ่ง พลูคาว | 50. ขิงแก้เมารถ เมาเรือโดยทานขิงก่อนขึ้นรถ ขึ้นเรือ 30 นาที ปัจจุบันขิง จัดเป็นยา over-the-counter สำหรับป้องกันและบรรเทาอาการเมารถเมาเรือในหลายประเทศในซีกโลกตะวันตก เช่น เยอรมนี สวิตเซอร์แลนด์ออสเตรีย และฟินแลนด์ เช่น มีศึกษาในนักเรียนนายเรือที่ยังไม่คุ้นกับการออกทะเลลึกจำนวน 80 นาย พบว่าขิงผง 1 กรัม สามารถลดแนวโน้มในการเกิดอาการอาเจียนและอาการเหงื่อออกตัวเย็นได้ดีกว่ายาหลอกอย่างมีนัยสำคัญหลังได้รับขิง | 51. คุณหมอสันต์ ใจยอดศิลป์วันนี้คุณหมอค้นพบองค์ความรู้บางอย่าง พร้อมคำแนะนำดีๆ ที่จะเปลี่ยนชีวิตคนดี ให้ไม่ป่วย รวมถึงคนป่วยให้ดีขึ้น (แนวทางเหล่านี้ไม่ใช้ยา แต่ทำให้เส้นเลือดที่ตีบ โล่งขึ้น ความดันลดลง ไขมันลดลง ) |
52. “ปอด”อวัยวะที่เราต้องดูแลมากที่ส- เนียมหูเสือ ผักหอมที่มีน้ำมันหอมระเหย บรรเทาอาการไอ แก้เจ็บคอ มีฤทธิ์ฆ่าเชื้อแบคทีเรียและเชื้อรา บำรุงกำลัง กินเป็นผัก ปั่นเป็นเครื่องดื่มได้ - ดอกปีบ รากดอกปีบบำรุงปอด แก้ปอดพิการ รากและดอกแก้หอบหืด ทำให้การหายใจดีขึ้น ดอกแห้งชงเป็นชา รากต้มน้ำดื่ม - รากชะเอมเทศ มีรสชุ่ม บำรุงปอด แก้ไอ ละลายเสมหะ บรรเทาโรคเกี่ยวกับทางเดินหายใจ กำจัดเชื้อไวรัสในทางเดินหายใจ แก้ไอและเจ็บคอ ทำให้น้ำมูกลดลง ต้มรากเอาน้ำดื่ม - รากสามสิบ รสหวานเย็น บำรุงปอด แก้ปอดพิการ รากนำมาต้ม เชื่อม หรือนำมาแช่อิ่ม ใช้รับประทาน | 53. "อาการหนาวใน" เป็นอาการที่สามารถเป็นอาการที่สามารถเกิดขึ้นได้กับผู้หญิงทุกวัย ผู้หญิงที่ไม่ได้อยู่ไฟหลังคลอด ตามตำราแพทย์แผนไทยเชื่อว่า การคลอดลูก ทำให้สูญเสียความร้อนในร่างกาย เสียธาตุไฟ ร่างกายขาดความสมดุล และยังสามารถเกิดในผู้สูงอายุที่กำลังจะหมดประจำเดือน หรือหมดประจำเดือนแล้ว ผู้หญิงที่ประจำเดือนมาผิดปกติ เช่น ประจำเดือนมาน้อย ประจำเดือนมาแล้วมีไข้ (ไข้ทับระดู) มาไม่ตรงวัน ปวดประจำเดือนรุนแรง ลักษณะของประจำเดือนมีสีคล้ำ เป็นก้อน เป็นลิ่ม เป็นต้น ยังมีอีกโรคหนึ่งที่ผู้หญิงยุคใหม่ในปัจจุบันเป็นกันมาก ที่เราเรียกกันว่า โรคช็ | 54. บัวบก ตัวช่วยที่ต้องมีติดไว้.ถ้าบัวบกนั้นมีสารสำคัญเป็น Triterpenoid compounds ได้แก่ Asiatic acid Madecassic acid Asiaticoside Madecassoside ซึ่งมีฤทธิ์ทางเภสัชวิทยา ในการรักษาแผล กระตุ้นการสร้าง collagen, DNA & protein เร่งกระบวนการสร้างเนื้อเยื่อใหม่ ลดการเกิด fibrosis ของแผล ลดการอักเสบ เพิ่ม antioxidants ของแผล โดยขนาดที่แนะนำคือครั้งละ 1-2 แคปซูล วันละ 3 ครั้ง หลังอาหาร เช้า กลางวัน เย็น หรือจะกินต้นสดหรือปั่น/คั้นน้ำกินวันละ 10-20 ต้น ก็ได้ค่ะ โดยสามารถทานได้จนกว่าแผลจะหายเป็นปกติ |
55.หญ้าปักกิ่ง และขมิ้นชัน กับ ช็อกโประสบการณ์ใช้สมุนไพรหญ้าปักกิ่งกับโรค ช็อกโกแล็ตซีสต์ | 56. “หญ้าปักกิ่ง” กับ เนื้องอกประสบการณ์การใช้หญ้าปักกิ่งในผู้ป่วยมะเร็งปากมดลูก | 57.เพชรฆาตเงียบ !!! ที่คุณต้องรู้ โรเพื่อลดโอกาสเกิดโรคหลอดเลือดสมอง 1. ภาวะความดันโลหิตสูง >>> คุมความดันให้ดี ปกติแล้วไม่ควรเกิน 130/80 2. โรคหัวใจ โดยเฉพาะโรคที่สามารถทําให้มีการหลุดของลิ่มเลือด Emboli จากหัวใจไปอุดตันหลอดเลือดสมอง เช่น ภาวะหัวใจเต้นผิดจังหวะชนิด atrial fibrillation (AF) >>> ทานยาตามแพทย์สั่ง ไปพบแพทย์ตามนัด 3. โรคเบาหวาน >>> คุมน้ำตาลให้ดี ปกติแล้วค่าน้ำตาลสะสม HbA1c ไม่ควรเกิน 7% หรือ 70-130 มก./ดล. เมื่อเจาะระดับน้ำตาลในเลือดหลังอดอาหาร 8 ชั่วโมง หรือไม่เกิน 180 มก./ดล. เมื่อสุ่มเจาะน้ำตาลในเลือดโดยที่ไม่ไ |
58. ว่านหางจระเข้/น้ำมันงาไฟไหม้น้ำร้อนลวก ........ใช้ว่านหางจระเข้/น้ำมันงา การเลือกใช้ว่านหางจระเข้นั้น ต้องเลือกใช้ใบสดๆ เพราะสารในใบจะสลายได้ง่ายเมื่อถูกความร้อน ใบที่เลือกใช้ควรเป็นใบล่างๆ นำมาปอกเปลือกสีเขียวแล้ว ล้างน้ำยางสีเหลืองออกให้หมด เพื่อไม่ให้ระคายเคืองหรือแพ้ ใช้วุ้นใสมาปิดพอกบริเวณแผล เปลี่ยนวันละ ๒ ครั้ง เช้า-เย็น จนกว่าแผลจะหาย อาจใช้ผ้าก๊อซห่อวุ้น พันทับไว้ สำหรับน้ำมันงาทาได้บ่อยๆ ช่วยให้ไม่ทิ้งรอยแผลเป็น แผลหายไวขึ้น | 59.“ทุเรียนเทศ” “ทุเรียนน้ำ”แนะนำให้ใช้หลังจากที่ให้เคมีบำบัดแล้ว สำหรับขนาดการใช้ยังไม่มีการพิสูจน์หรือยืนยันถึงขนาดที่แน่นอนทางวิทยาศาสตร์ แต่จากประสบการณ์การใช้ของผู้ป่วยจะใช้ใบแห้ง ประมาณ 2 กรัม ต้มกับน้ำ 150 ,มิลลิลิตร ต้มเป็นเวลา 5-10 นาที หรือใช้ใบสด หรือแห้ง 10 ใบ ใส่น้ำพอท่วม ต้มจากน้ำ 3 ส่วน เหลือ 1 ส่วน ดื่มครั้งละครึ่งถึงหนึ่งแก้ว วันละ 3 ครั้ง หลังอาหาร | 60. "ปวดประจำเดือน".ตำรับยา * ใบแก่ของหูกวาง 5-10 ใบ ต่อน้ำ 1 ลิตร ต้มดื่ม ครั้งละ 1/2-1 แก้ว วันละ 1-2 ครั้ง กินก่อนรอบเดือนมา 3 วัน * ใบอ่อนของนมแมวกินแก้ปวดประจำเดือน จนกว่าเลือดประจำเดือนจะหมด * ยอ จิ้มเกลือ หรือตำส้มตำกิน หรือ ยอผสมพริกไทยดำกวนตามตำรับกุลกา * รากเอนอ้า ต้มกินแก้ปวดประจำเดือน (ถ้าได้เอนอ้าดอกขาวจะดีมาก) * หัวหรือรากของเครือหมาน้อย ฝนกับน้ำกิน วันละ 3 เวลา หรือเถาแห้งทำลูกกลอน หนักประมาณ 1-2 กรัม รับประทานวันละ 2-3 ครั้ง หรือจะใช้เถาหรือรากของเครือหมาน้อย 1 กำมือ ต้มกับน้ำ 1 ลิตร ต้มน้ำ 3 ส่วนเห |
61.ขิง พุทราจีน เห็ดหูหนู’’ ช่วยรักษทึ่ง แพทย์เชียงใหม่-รามใช้ “ ขิง พุทราจีน เห็ดหูหนู’’ ช่วยรักษาเส้นเลือดสมองตีบได้ ข้อแนะนำ : กรณีอาการของเส้นเลือดสมองตีบเฉียบพลัน เช่น ปากเบี้ยว พูดไม่ได้ อ่อนแรง ต้องรีบพบแพทย์ทันที !!! เพราะมียาที่มีประสิทธิภาพรักษาได้ การใช้สมุนไพรดังกล่าวควรอยู่ในความดูแลของแพทย์แผนปัจจุบันเป็นหลัก !!! เลือกขิงแง่งดีกว่าขิงซอย เพื่อเลี่ยงสารฟอกขาว หญิงตั้งครรภ์ไม่ควรกินขิงมาก เพราะมีฤทธิ์ร้อน ระวังการทานปริมาณมากในคนที่ทานยาละลายลิ่มเลือด เพราะขิงอาจเสริมฤทธิ์ยา | 62.อ้วนไขมันเหลว .ลดความอ้วนคำแนะนำสำหรับการควบคุมน้ำหนัก 1.ครั้งแรกให้ถ่ายท้อง เพื่อระบายสิ่งสกปรก โดยยาถ่าย อาทิตย์ละ 1 ครั้ง ทำประมาณ 4-5 ครั้ง เพื่อให้ท้องไส้สะอาด หรือจะทำน้ำกระสายยากินเป็นยาถ่ายด้วยตนเอง ประกอบด้วย เม็ดแมงลักแช่น้ำผสมน้ำส้ม มะขามเปียก น้ำมะนาว น้ำส้มแขก ต้มดื่มก่อนนอน ตอนเช้าจะถ่ายสะดวก ให้ดื่มอาทิตย์ละครั้ง 2.เดือนที่ 1 ให้ต้มน้ำตรีผลา (สมอไทย สมอพิเภก มะขามป้อม) ผสมกับน้ำเตยหอม และน้ำผึ้งเล็กน้อย กินเช้า-เย็น ครั้งละ 1 แก้ว กินทุกวัน ประมาณ 1 เดือน จะช่วยให้ร่างกายแข็งแรง และน้ำหนักค่อยๆลด 3.เดือนท | 63. ยอ กับ ข้อเข่าเสื่อม .....โรคอมตสำหรับสมุนไพรทางเลือก แนะนำให้ทาน ยอแคปซูลครั้งละ 1 แคปซูล วันละ 2 ครั้ง ก่อนอาหารเช้า และ เย็น ยอจะช่วยลดการปวด การอักเสบ และการเสื่อมของข้อ ร่วมกับเพชรสังฆาต ครั้งละ 2 แคปซูล วันละ 2 ครั้ง หลังอาหารเช้า เย็น เพชรสังฆาตจะช่วยลดการปวด การอักเสบ และยังช่วยเพิ่มมวลกระดูกให้หนาแน่นขึ้น หากท่านมีอาการปวด เส้นตึง เอ็นยึด ให้ทานเถาวัลย์เปรียงเสริม ครั้งละ 2 เม็ด วันละ 3 ครั้ง หลังอาหาร เช้า กลางวัน เย็น จะช่วยคลายเส้น แก้ปวดเมื่อย และมีงานวิจัยยืนยันว่าเถาวัลย์เปรียงมีฤทธิ์ลดอักเสบ ลดปวดได้ดีเทียบเท่า |
64.ขมิ้นชัน มะขามป้อม หรือ ตรีผลากับสมุนไพรทางเลือกบำรุงตับ และใช้ในภาวะไขมันพอกตับได้ 1.ขมิ้นชัน รับประทานครั้งละ 2 แคปซูล หลังอาหาร 3 มื้อ 2.มะขามป้อม หรือ ตรีผลา (สมอไทย สมอพิเภก มะขามป้อม) 1 แก้ว 3 มื้อ ทานต่อเนื่องอย่างน้อย 1 เดือนขึ้นไป และควรไปตรวจติดตามกับแพทย์ตามนัด | 65. ตกขาว...อาการ : โดยปกติผู้หญิงจะมีตกขาวอยู่แล้ว มีลักษณะเป็นเมือกใสๆ ขาวๆ ไม่มีกลิ่นเหม็น แต่ตกขาวที่ผิดปกติจัเป็นเมือกขาวขุ่นๆ มีกลิ่นเหม็น บางครั้งรู้สึกร้อนที่ช่องคลอด ร่วมกับอาการปัสสาวะลำบาก หรือเป็นตขาวที่มีสีอื่นปนอยู่ด้วย อาจมีอาการปวด แสบคัน ปวดเมื่อตามตัว อ่อนเพลีย ใจสั่น ซีดเซียว สะลึมสะลือไม่สดชื่น ไม่มีเรี่ยงแรง อาการเหล่านี้บ่งบอกถึงความผิดปกติที่จะต้องดูแลรักษาทันที มิเช่นนั้นอาจลุกลามเป็นอันตรายถึงชีวิตได้ |
1. ดอกอัญชัน
บำรุงเส้นผม บำรุงสายตา ดูแลระบบการทำงานเส้นโลหิดฝอย
2. พริกขี้หนู
จากวิกิพีเดีย ผลมีรสเผ็ดร้อน ใช้ขับลม ขับปัสสาวะ แก้ท้องอืด ผลดองสุราใช้ทาแก้ฟกช้ำดำเขียว ต้นมีรสเผ็ด ใช้ขับลม แก้กษัย รากใช้ฝนกับมะนาวแทรกเกลือ เป็นยากวาดคอ ใบใช้แก้หวัด ตำใบสดผสมกับดินสอพองพอกขมับแก้ปวดศีรษะได้
3. ใบชะพลู
จากวิกิพีเดีย ชะพลูเป็นพืชที่มีสรรพคุณทางยา ดอกทำให้เสมหะแห้ง ช่วยขับลมในลำไส้ รากขับเสมหะให้ออกมาทางระบบขับถ่าย ขับลมในลำไส้ ทำให้เสมหะแห้ง ต้นขับเสมหะในทรวงอก ใบมีรสเผ็ดร้อน ทำให้เจริญอาหาร ขับเสมหะ ใบ ต้น และดอกใช้ขับเสมหะ รากใช้ขับลม น้ำต้มทั้งต้นช่วยลดน้ำตาลในเลือดของกระต่ายที่เป็นเบาหวานได้
4. กระชาย
จากวิกิพีเดีย :
เป็นพืชที่ใช้เป็นส่วนผสมของอาหารโดยเฉพาะรากกระชาย ใช้เป็นเครื่องจิ้มหรือเป็นส่วนประกอบของน้ำพริกแกงโดยเฉพาะแกงที่ใส่ปลา เช่น แกงป่า ต้มโฮกอือ กระชายดับกลิ่นคาวของปลาได้ดี
5. กระชายดำ
หง้าใต้ดิน - มีรสเผ็ดร้อนขม แก้ปวดท้อง มวนในท้อง ท้องอืดท้องเฟ้อ บำรุงกำลัง บำรุงกำหนัด แก้กามตายด้าน เป็นยารักษาริดสีดวงทวาร
เหง้าและราก - แก้บิดมูกเลือด เป็นยาขับปัสสาวะ แก้ปัสสาวะพิการ ใช้เป็นยาภายนอกรักษาขี้กลาก
ใบ - บำรุงธาตุ แก้โรคในปาก คอ แก้โลหิตเป็นพิษ ถอนพิษต่างๆ
วิธีใช้และปริมาณที่ใช้ :
แก้ท้องร่วงท้องเดิน
ใช้เหง้าสด 1-2 เหง้า ตำหรือฝนเหง้าที่ปิ้งไฟแล้วกับน้ำปูนใส หรือคั้นให้ข้นๆ รับประทานครั้งละ 1-2 ช้อนแกง
แก้อาการท้องอืด ท้องเฟ้อ จุกเสียด ปวดมวนในท้อง
ใช้เหง้าและราก ประมาณครึ่งกำมือ (สดหนัก 5-10 กรัม, แห้ง 3-5 กรัม) ต้มเอาน้ำดื่ม หรือใช้ปรุงเป็นอาหารรับประทาน
แก้บิด
ใช้เหง้าสด 2 เหง้า บดให้ละเอียด เติมน้ำปูนใส คั้นเอาแต่น้ำดื่ม
เป็นยาบำรุงหัวใจ
ใช้เหง้าและรากกระชายปอกเปลือก ล้างน้ำให้สะอาด
6. เพชรสังฆาต
เพชรสังฆาตเป็นสมุนไพรตัวหนึ่งที่ถูกถามเข้ามาบ่อย โดยเฉพาะประเด็นรายละเอียดเกี่ยวกับการใช้รักษาริดสีดวงทวารหนัก ทางเราจึงได้เรียบเรียงข้อมูลทั้งหมดไว้ที่นี่แล้ว ในทุกปัญหาที่เคยถามเข้ามาเกี่ยวกับเพชรสังฆาตค่ะ
1. สรรพคุณของเพชรสังฆาต รักษาอะไรได้บ้าง
รักษาริดสีดวง (วิจัยพบว่าประสิทธิภาพไม่ต่างกับยารักษาแผนปัจจุบัน (Daflon) แต่ราคาถูกกว่า) และยังดีในริดสีดวงที่มีการปวดและอักเสบ เพราะเพชรสังฆาตสามารถลดอักเสบ ลดปวดได้ และยังทำให้หลอดเลือดแข็งแรง จากสารฟลาโวนอยด์ที่พบในเพชรสังฆาต ปัจจุบันใช้เป็นยารักษารักษาหลัก ในผู้ป่วยริดสีดวงทวารหนักที่โรงพยาบาลเจ้าพระยาอภัยภูเบศร
- บำรุงกระดูก ใช้แพร่หลายในหมอพื้นบ้านและหมออายุรเวท
- เพิ่มมวลกระดูก
- สมานกระดูกที่หัก โดยกระตุ้นการสร้างเซลล์กระดูก และลดอาการบวมและอักเสบได้
2. ทำไมเพชรสังฆาต ถึงช่วยเรื่องบำรุงกระดูกได้หล่ะ
ในระบบของกระดูก มีการศึกษาในสัตว์ทดลองพบว่าเพชรสังฆาตช่วยเสริมสร้างมวลกระดูก จากการที่มีฤทธิ์กระตุ้นเซลล์สร้างกระดูกให้เพิ่มขึ้น และเพิ่มการสร้างคอลลาเจนในเซลล์สร้างกระดูก และยังป้องกันการสูญเสียมวลกระดูกในหนูทดลองที่ถูกตัดรังไข่ เพื่อจำลองให้เกิดสภาวะเหมือนหญิงวัยทอง โดยมีผลเทียบเท่ากับยาแผนปัจจุบัน คือ raloxifene โดยน่าจะเป็นผลจากการที่ในเพชรสังฆาตพบสารกลุ่มไฟโตเอสโตรเจนมาก เนื่องจากในหนูที่ได้รับเพชรสังฆาต พบการเพิ่มขึ้นของระดับเอสโตรเจน และวิตามินดีในเลือด ข้อดีของเพชรสังฆาต เมื่อเปรียบเทียบกับการให้ฮอร์โมนเอสโตรเจนทดแทน พบว่าเพชรสังฆาต ให้ผลดีทั้งในเรื่องของความหนา ความแข็งแรง และความหนาแน่นมวลกระดูก ขณะที่เอสโตรเจน จะไม่มีผลในเรื่องความหนาแน่นของมวลกระดูก เพชรสังฆาตยังมีฤทธิ์ลดอาการปวดได้อีกด้วย
3.เหมือนแคลเซียมรึป่าว กินแคลเซียมอยู่แล้ว
จากข้อสองจะเห็นได้ว่า เพชรสังฆาต ไม่ได้ออกฤทธิ์เหมือนแคลเซียม ซึ่งแคลเซียมเป็นแร่ธาตุตัวหนึ่ง ดังนั้นสามารถทานเพชรสังฆาตร่วมกับแคลเซียมได้
4. ขนาดยา ใช้อย่างไร
- ทานเพื่อรักษาริดสีดวงทวาร รับประทานครั้งละ 3 แคปซูล วันละ 3 ครั้ง หลังอาหาร หากขนาดที่แนะนำทานแล้วระบายมากเกิน ให้ลดขนาดการทานลงมาค่ะ เนื่องจากมีฤทธิ์ระบายอ่อนๆ
- ทานเพื่อรักษาข้อเข่าเสื่อม หรือ บำรุงกระดูก รับประทานครั้งละ 1-2 แคปซูลวันละ 1-3 มื้อ หลังอาหาร
5. หากมีต้นสดปลูกอยู่ที่บ้านทำอย่างไร
- หั่นตากแห้ง บดเป็นผง คลุกน้ำมะขามเปียก ปั้นเป็นลูกกลอน ทานครั้งละ 5 เม็ด วันละ 3 ครั้งหลังอาหาร
- เถาแห้ง 1 กำมือ แช่น้ำมะขามเปียกเพื่อลดแคลเซียมออกซาเลตก่อนนำมาต้ม ต้มดื่มกับน้ำ 1 ลิตร ดื่มครั้งละ 1 แก้วกาแฟ เช้า เย็น
- ใช้เถาสด หั่นเป็นชิ้นเล็กๆ จากนั้นยัดใส่ในกล้วยน้ำว้าสุก กลืนทั้งคำลงไปเลย ไม่ต้องเคี้ยว
- ใช้เถาเพชรสังฆาตโขลกจนแหลกและเนียน พอกกระดูกที่หัก
- หรือใช้เถาสดยาวทั้งเถา พันทบตามข้อ อย่าให้หัก ถ้าโดนมือจะคัน (เนื่องจากมีผลึกแคลเซียมออกซาเลต ที่มองไม่เห็นด้วยตาเปล่า เคี้ยวสดจะระคายปาก คันคอ โดนผิวหนังอาจคันระคาย ถ้าคัน เอาน้ำมะนาว หรือน้ำมะขามเปียกถูบริเวณที่คัน) นำเถาที่พันทบยัดใส่ลงไปในหม้อ ขณะที่น้ำกำลังเดือด ปิดฝาหม้อ ต้มนานประมาณ 1 ชั่วโมง สังเกตว่าน้ำจะเริ่มออกสีเหลือง หลังต้มเสร็จสามารถเติมน้ำตาลปรุงรส และเติมน้ำมะนาวลงไปได้เลย ประมาณ 1-2 ช้อนโต๊ะ เพื่อลดผลึกแคลเศียมออกซาเลตที่อาจหลงเหลืออยู่ ทานได้เป็นประจำวันละ 1-2 แก้ว หลังอาหาร
6.กินกี่เดือนเห็นผล กินได้นานเท่าไหร่
สามารถทานได้จนกว่าอาการจะดีขึ้น ส่วนใหญ่ทานต่อเนื่องอย่างน้อย 1 เดือนสำหรับการรักษาริดสีดวงทวาร และทานต่อเนื่องอย่างน้อย 3 เดือนสำหรับรักษาอาการกระดูกพรุน เสื่อม แตกหัก หากทานเพื่อบำรุงกระดูก อาจทานสามเดือน พัก 1 เดือน
7. ผลข้างเคียงจากการทานเพชรสังฆาต / ข้อควรระวัง
- ไม่เคี้ยวสด เพราะจะระคายปาก คันคอ เนื่องจากมีผลึกแคลเซียมออกซาเลตเล็กๆ ที่มองไม่เห็นด้วยตาเปล่า
- ยังไม่มีข้อมูลการใช้ในหญิงตั้งครรภ์และให้นมบุตร จึงควรหลีกเลี่ยงการใช้ เพื่อความปลอดภัย
- ไม่กัดกระเพาะ (มีข้อมูลว่ารักษากระเพาะได้อีกด้วย โดยออกฤทธิ์ลดการหลั่งกรด และรักษาแผลในกระเพาะอาหารได้ ด้วยกลไกเดียวกันกับยา omeprazole) แต่อาจเกิดอาการไซร้ท้อง ไม่สบายท้องได้ หากทานตอนท้องว่าง จึงแนะนำให้ทานหลังอาหาร
- อาจทำให้ช่วยระบายได้เล็กน้อย หากระบายมากไป ให้ลดขนาดการทานลง และฤทธิ์ระบายของเพชรสังฆาต เป็นฤทธิ์อ่อนๆ ไม่ได้ทำให้ติดยาระบาย หยุดทานแล้วไม่ได้ทำให้ท้องผูก
- บางรายทานแล้วแพ้ มีอาการคันยุบยิบๆ ทั้งตัว แต่ไม่มีผื่น ซึ่งพบคนแพ้น้อยมาก หากแพ้ ควรหยุดทาน
8 .เพชรสังฆาตลดน้ำหนัก ได้ด้วยหรอ
ผลดีของเพชรสังฆาตในผู้ที่มีน้ำหนักเกินหรืออ้วน มีการศึกษาหนึ่งทดลองในผู้ที่มีภาวะน้ำหนักเกิน หรือโรคอ้วน โดยคัดคนที่มีดัชนีมวลกาย หรือ BMI มากกว่า 26 kg/m2 ให้ทานเพชรสังฆาตรมื้อละ 150 มิลลิกรัม ก่อนอาหาร วันละ 2 มื้อ เป็นเวลา 10 สัปดาห์ โดยไม่มีการปรับเปลี่ยนการกินและการออกกำลังกาย พบว่าน้ำหนักลดลง 8.8% (จากเดิมน้ำหนักเฉลี่ยของผู้ทดลองก่อนทานเพชรสังฆาต 98.92 กิโลกรัม ลดเหลือ 90.19 กิโลกรัม) ไขมันในร่างกายลด 14.6% เส้นรอบเอวลดลง 8.6% (จากเดิมเส้นรอบเอวเฉลี่ยของผู้ทดลองก่อนทานเพชรสังฆาต 40 นิ้ว ลดเหลือ 36 นิ้ว) และยังมีผลลดระดับโคเลสเตอรอล ไขมันตัวร้าย LDL และระดับน้ำตาลในเลือด ได้ 26.69%, 20.16% และ 14.85% ตามลำดับ ซึ่งผลในการลดน้ำหนักของเพชรสังฆาต มาจากการที่เพชรสังฆาตมีเส้นใย ทำให้ลดเนื้อที่ของกระเพาะอาหาร ทำให้อิ่มเร็วขึ้น และมีผลยับยั้งเอนไซม์ที่ย่อยแป้ง น้ำตาล และไขมัน (alpha amylase, glucosidase and lipase) ทำให้ลดการดูดซึมอาหาร และยังมีผลเพิ่มระดับซีโรโทนนิน ทำให้ร่างกายรู้สึกอิ่ม ช่วยลดสารอักเสบ คือ C-reactive protein ที่พบในเลือดของผู้ที่มีภาวะ metabolic syndrome (กลุ่มความผิดปกติที่เป็นปัจจัยเสี่ยงต่อการเกิดโรคหัวใจและหลอดเลือดซึ่งพบร่วมกันได้บ่อย ความผิดปกติดังกล่าวได้แก่ความผิดปกติของไขมันในเลือด ความดันโลหิต ระดับน้ำตาล) ซึ่งผลดีของเพชรสังฆาตดังกล่าว น่าจะมีประโยชน์ในการนำไปประยุกต์ใช้ในผู้ป่วยที่มีปัญหา metabolic syndrome
สำหรับผู้ที่อยากคุมน้ำหนัก ยังคงแนะนำว่าต้องคุมอาหารเป็นหลัก โดยอาจทานเพชรสังฆาตรวันละ 1-2 แคปซูล หลังอาหารเช้า ต่อเนื่องซัก 10 สัปดาห์ ร่วมกับการคุมอาหาร
9.ข้อเสนอแนะ:
ควรดูแลรักษาสุขภาพ ไม่ควรปล่อยให้ท้องผูก หรือเบ่งอุจจาระ เนื่องจากอาจทำให้อาการ หรือโรคริดสีดวงทวารหนักกำเริบได้ เช่น รับประทานผักเยอะๆ ดื่มน้ำอย่างน้อยวันละ 6-8 แก้ว ออกกำลังกายมากขึ้น เพื่อเพิ่มการเคลื่อนไหวของลำไส้
10.คำถามอื่นๆ
- ช่วยเรื่องท้องผูกได้ไหม...................ได้ มีฤทธิ์ระบายอ่อนๆ
- รักษาริดสีดวงโดยใช้ร่วมกับยาแผนปัจจุบันได้หรือไม่................ได้
- เพชรสังฆาตของอภัยภูเบศร มีความแรง 400 มก. ประกอบด้วยผงเพชรสังฆาต 250 มก. และตัวยาอื่นๆ 120 มก. บรรจุ 70 แคปซูล/กระปุก 140 บาท
7. กับ 6 อภินิหารผักลดความดัน
ความดันโลหิตสูง หมายถึง ระดับความดันโลหิตตั้งแต่ 140/90 มิลลิเมตรปรอท ขึ้นไป ผู้ป่วยที่เป็นโรคนี้ หากไม่สามารถควบคุมระดับความดันโลหิตได้จะทำให้เกิดความเสี่ยงต่อการเกิดภาวะแทรกซ้อนที่สำคัญ ได้แก่ โรคกล้ามเนื้อหัวใจขาดเลือด ไตวาย โรคหลอดเลือดสมอง ทำให้เกิดอัมพฤกษ์ อัมพาต
สำหรับเป้าหมายการควบคุมระดับความดันโลหิต ตามแนวทางการรักษาความดันโลหิตสูง 2014 (JNC 8) ระบุว่าในคนที่มีอายุ 60 ปีขึ้นไป เริ่มให้ยาเมื่อความดันโลหิตตัวบน (SBP) ตั้งแต่ 150 มม. ปรอท ขึ้นไป หรือความดันโลหิตตัวล่าง (DBP) ตั้งแต่ 90 มม. ปรอทขึ้นไป โดยมีเป้าหมายให้ SBP ต่ำกว่า 150 มม. ปรอท และ DBP ต่ำกว่า 90 มม. ปรอท ส่วนในคนที่อายุน้อยกว่า 60 ปี หรือผู้ป่วยที่เป็นโรคไตเรื้อรังร่วม หรือผู้ป่วยที่เป็นเบาหวานร่วม เริ่มให้ยาเมื่อความดันโลหิตตัวบน (SBP) ตั้งแต่ 140 มม. ปรอท ขึ้นไป หรือความดันโลหิตตัวล่าง (DBP) ตั้งแต่ 90 มม. ปรอทขึ้นไป โดยมีเป้าหมายให้ SBP ต่ำกว่า 140 มม. ปรอท และ DBP ต่ำกว่า 90 มม. ปรอท
สำหรับใครที่สนใจจะทานสมุนไพรเพื่อรักษาความดันโลหิตสูง ก็ขอแนะนำว่าสมุนไพรเหล่านี้เป็นเพียงทางเลือกเสริม โดยเฉพาะในคนที่ทานยาแผนปัจจุบันแล้วยังไม่สามารถลดระดับความดันเลือดให้ลงมาอยู่ในค่าเป้าหมายได้ การติดตามผลความดันและโรคแทรกซ้อน โดยการไปพบแพทย์ตามนัดสม่ำเสมอก็ยังเป็นสิ่งที่สำคัญและจำเป็นค่ะ รวมถึงการแจ้งแพทย์เกี่ยวกับสมุนไพรที่เราเลือกใช้เสริมเข้ามา เพราะแพทย์จะได้พิจารณาปรับยาให้ผู้ป่วยให้ได้อย่างเหมาะสมค่ะ
6 อภินิหารผักลดความดัน
กระเทียม มีรายงานการศึกษาหนึ่งพบว่ากระเทียมลดความดันโลหิตตัวบนได้ 12 มิลลิเมตรปรอท และลดความดันตัวล่างได้ 9 มิลลิเมตรปรอท เมื่อเปรียบเทียบกับยาหลอก โดยสารอัลลิซินในกระเทียม ช่วยเพิ่มการสร้างไนตริกออกไซด์ ซึ่งมีผลขยายหลอดเลือด ทำให้ความดันลดลง โดยทานกระเทียมเพียงวันละ 1-2 กลีบ หรือทานในรูปแบบผงกระเทียม 600-900 มิลลิกรัมต่อกรัม เป็นเวลา 12-23 สัปดาห์ นอกจากนี้กระเทียมยังมีผลลดไขมันในเลือดได้
ขิงมีผลลดความดันโลหิต โดยออกฤทธิ์ขยายหลอดเลือด ซึ่งมีกลไกการออกฤทธิ์คล้ายคลึงกับยาในกลุ่ม calcium channel blocker นอกจากนี้ขิงยังมีผลลดการอักเสบ ลดไขมันในเลือด
ควรระวังการทานกระเทียมและขิงในรูปแบบสารสกัด หรือการรับประทานในปริมาณมากในผู้ป่วยที่มีการทานยาละลายลิ่มเลือดร่วมด้วย เพราะกระเทียมและขิง อาจมีผลเพิ่มฤทธิ์ยาละลายลิ่มเลือด
8. กับ 6 อภินิหารผักฆ่าไขมัน
ภาวะไขมันในเลือดผิดปกติ (Dyslipidemia)
ภาวะไขมันในเลือดผิดปกติ (Dyslipidemia) คือ ระดับไขมันในเลือดที่มีโคเลสเตอรอล มากกว่า 200 มิลลิกรัมต่อเดซิลิตร ระดับไตรกรีเซอไรด์ มากกว่า 150 มิลลิกรัมต่อเดซิลิตร ระดับ HDL-cholesterol (HDL-C) หรือไขมันดี น้อยกว่า 40 มิลลิกรัมต่อเดซิลิตร ระดับ LDL-cholesterol (LDL-C) หรือไขมันเลวมากกว่า 130 มิลลิกรัมต่อเดซิลิตร โดยยิ่งหากมีไขมันตัวร้ายมาก ก็ยิ่งก่อปัญหาหลอดเลือดอุดตันได้มาก ส่งผลกระทบให้เกิดโรคหลอดเลือดหัวใจ โรคหลอดเลือดส่วนปลาย หลอดเลือดสมองตีบ แตก ตัน ในทางกลับกันหากยิ่งมีปริมาณไขมันตัวดีสูง ก็จะส่งผลดีกับร่างกายมากขึ้น เพราะไขมันตัวดีจะทำหน้าที่เก็บไขมันส่วนเกินจากผนังหลอดเลือดกลับไปทำลายที่ตับ
ในการักษาแผนปัจจุบันเหมือนกับกับการใช้ยาสมุนไพรในการรักษา ตรงที่ยาไม่ได้มีผลลดไขมันได้ 100% จำเป็นต้องอาศัยการควบคุมอาหารร่วมด้วยเสมอเป็นอันดับแรก คือลดการรับประทานอาหารที่มีไขมันสูง ของมันของทอด กะทิ เครื่องในสัตว์ หรือแม้กระทั่งขนมจุกจิก น้ำอัดลม เครื่องดื่มน้ำผลไม้ กาแฟ หากมีการใส่น้ำตาลปรุงรสในปริมาณมาก ก็จะเพิ่มพลังงานให้กับสิ่งที่เรากิน ซึ่งหากร่างกายเรามีการใช้พลังงานน้อยกว่าพลังงานจากอาหารที่ทานเข้าไป ร่างกายก็จะเก็บสะสมในรูปไขมันได้ และหมั่นอออกกำลังกาย ครั้งละ 30-40 นาทีอย่างน้อยสัปดาห์ละ 4 วัน และในคนที่สูบบุหรี่ พบว่าหากหยุดสูบบุหรี่ จะทำให้ไขมันชนิดดีไม่ลดต่ำลงได้ และยังลดความเสี่ยงต่อการเป็นโรคหลอดเลือดและหัวใจอีกด้วย ในส่วนของสมุนไพรไทยที่งานวิจัยสนับสนุนยืนยันว่า มีส่วนช่วยในการลดไขมันได้จริง มีดังนี้
กระเจี๊ยบแดง ความโดดเด่นของกระเจี๊ยบ คือ ไม่ว่ากระเจี๊ยบแดงจะงอกงาม ณ ประเทศไหน คนในประเทศนั้นจะมีการใช้กระเจี๊ยบแดงที่เหมือนกัน คือ ใช้เป็นยาลดความดันโลหิต เป็นยาขับปัสสาวะ และยังเชื่อว่ากระเจี๊ยบแดงมีสรรพคุณในการบำรุงไต และหัวใจ จากการทดลองในสัตว์และมนุษย์ พบว่า กระเจี๊ยบแดงสามารถลดความดันโลหิต ขับปัสสาวะ ขับยูริค รวมทั้งลดการอักเสบของระบบทางเดินปัสสาวะภายหลังการผ่าตัดในไตได้ นอกจากนี้ ยังมีรายงานว่าการดื่มชากระเจี๊ยบวันละ 2 - 3 ครั้ง สามารถลดความดันโลหิตตัวบนลงตั้งแต่ร้อยละ 7.2 ถึง 13 เลยทีเดียว นักวิทยาศาสตร์วิจัยพบว่า การที่กระเจี๊ยบแดงสามารถลดความดันโลหิตได้ เนื่องมาจากสาร “แอนโธไซยานิน” (anthocyanins) ช่วยเพิ่มประสิทธิภาพการทำงาน และสร้างความแข็งแรงให้กับหลอดเลือดนั่นเอง
ขึ้นฉ่ายชาวเอเชีย นิยมใช้ขึ้นฉ่ายเป็นยาลดความดันโลหิตมากว่า 2000 ปีแล้ว ชาวจีน ชาวเวียดนามแนะนำให้รับประทานคึ่นไฉ่วันละ 4 ต้น เพื่อรักษาความดันให้เป็นปกติ หรืออาจใช้ขึ้นฉ่ายสด (ไม่เอาราก) ล้างให้สะอาด คั้นเอาแต่น้ำ เติมน้ำผึ้งหรือน้ำเชื่อมจำนวนเท่ากัน ดื่มครั้งละ 40 มิลลิลิตร วันละ 3 ครั้ง (อุ่นก่อนดื่ม) ทดลองในผู้ป่วย 16 ราย ได้ผล 14 ราย ไม่ได้ผล 2 ราย โดยทั่วไปความดันโลหิตเริ่มลดลง หลังจากกินยาแล้วหนึ่งวัน มีบางรายที่ความดันเริ่มลดลงหลังจากกินยาไปแล้ว 4 วัน ผู้ป่วยจะรู้สึกเองว่าอาการดีขึ้น นอนหลับดี ปริมาณปัสสาวะมากขึ้น
บัวบก เป็นพืชสมุนไพรที่มีประโยชน์ต่อผู้ป่วยโรคความดันโลหิตสูง เนื่องจากบัวบกทำให้การไหลเวียนของเลือดทั้งในหลอดเลือดดำและเส้นเลือดฝอยมีการไหลเวียนดีขึ้น มีคุณสมบัติขยายหลอดเลือด ช่วยให้เลือดไหลเวียนได้ดี จึงสามารถลดความดันโลหิตได้ ทั้งนี้ มีรายงานการวิจัยที่สนับสนุนว่า สารสกัดเอทานอลจากต้นบัวบก มีฤทธิ์ลดความดันโลหิตในหนูขาวเมื่อให้ทางหลอดเลือดดำ น้ำคั้นจากต้น และสารสกัดด้วยน้ำมีฤทธิ์ลดความดันโลหิตในหนูขาวและสุนัข บัวบกยังทำให้หลอดเลือดดำและเส้นเลือดฝอยแข็งแรงขึ้น ซึ่งจะมีประโยชน์ต่อคนที่มีปัญหาเส้นเลือดขอดและคนที่เป็นริดสีดวงทวาร นอกจากนี้ยังมีประโยชน์ต่อระบบประสาท ทำให้การเรียนรู้ดีขึ้น มีฤทธิ์คลายความเครียด ซึ่งฤทธิ์คลายความเครียดนี้เป็นประโยชน์ต่อผู้ป่วยความดันโลหิตสูงด้วย
“มะรุม” นับเป็นอาหารสุขภาพที่เหมาะสำหรับผู้ป่วยโรคความดันโลหิตสูงมากที่สุด โดยจากประสบการณ์การใช้ของชาวบ้านทั้งในไทยและต่างประเทศ และการศึกษาทางเภสัชวิทยา พบว่า ส่วนของใบและรากของมะรุม มีฤทธิ์ในการลดความดันโลหิตได้ สำหรับตำรับยาแก้ความดันโลหิตสูง เช่น นำรากมาต้มกินเป็นซุป นำยอดมาต้มกิน ใช้ยอดมะรุมสด โดยจะเป็นยอดอ่อนหรือยอดแก่ก็ได้ นำมาโขลกคั้นเอาน้ำ (ถ้าไม่มีน้ำให้เติมน้ำลงไปพอให้เหลวข้น) ผสมน้ำผึ้งพอหวาน กินวันละ 2 ครั้ง ครั้งละครึ่งแก้ว
นอกจากนี้การปรับพฤติกรรมบางอย่างก็มีผลช่วยลดความดันโลหิตได้ เช่น ลดการดื่มแอลกอฮอล์ เลิกสูบบุหรี่ ลดความเครียด ควบคุมน้ำหนักตัวให้อยู่ในระดับที่เหมาะสม ออกกำลังกายอย่างสม่ำเสมอ อย่างน้อยวันละ 30-45 นาที สัปดาห์ละ 3 วัน
6 อภินิหารผักฆ่าไขมัน
ขิง มีการศึกษาหนึ่งของต่างประเทศพบว่า การรับประทานขิงแคปซูลวันละ 3 กรัมต่อวัน โดยแบ่งให้วันละ 3 เวลา เป็นเวลา 45 วัน สามารถลดระดับไขมันโคเลสเตอรอล ไตรกลีเซอไรด์ นอกจากนี้ขิงยังมีป้องกันการเกาะกลุ่มของเกล็ดเลือด ป้องกันการอุดตันของหลอดเลือดได้อีกด้วย
กระเทียม นอกจากจะลดความดันได้แล้ว ยังมีผลลดไขมันในเลือดได้ โดยมีการศึกษาพบว่า เพียงคุณทานกระเทียมวันละ 1-2 กลีบ หรือทานในรูปแบบผงกระเทียม 600-900 มิลลิกรัมต่อกรัม เป็นเวลา 2 เดือนขึ้นไป จะมีผลลดไขมันโคเลสเตอรอลและไตรกลีเซอไรด์ โดยมีการศึกษาหนึ่งพบว่าหากทานเป็นเวลา 16 สัปดาห์ สามารถลดไขมันโคเลสเตอรอลได้ 12% ลดไขมันไตรกลีเซอไรด์ได้ 17%
ควรระวังการทานกระเทียมและขิงในรูปแบบสารสกัด หรือการรับประทานในปริมาณมากในผู้ป่วยที่มีการทานยาละลายลิ่มเลือดร่วมด้วย เพราะกระเทียมและขิง อาจมีผลเพิ่มฤทธิ์ยาละลายลิ่มเลือด
กระเจี๊ยบแดง มีสารออกฤทธิ์สำคัญคือ แอนโทไซยานิน ซึ่งพบว่ามีผลลดระดับไขมันชนิดไตรกลีเซอไรด์ได้ดีมาก ลดไขมันชนิดร้าย (LDL) ลดโคเลสเตอรอล อีกทั้งยังมีผลช่วยเพิ่มระดับไขมันดี (HDL) โดยเห็นผลเมื่อดื่มชาชงกระเจี๊ยบวันละ 2 เวลา เป็นเวลาติดต่อกันอย่างน้อย 1 เดือน
ตรีผลา ตำรับสมุนไพรที่ประกอบขึ้นด้วยผลไม้สามอย่างคือ สมอไทย สมอพิเภกและมะขามป้อม มีผลลดระดับไขมันโคเลสเตอรอลและไตรกลีเซอไรด์ได้ โดยอาจทานต่อเนื่องอย่างน้อยคืนละ 1 แก้ว ต่อเนื่องทุกคืน นอกจากจะลดไขมันในเลือดได้แล้ว ตรีผลายังมีส่วนช่วยในการรักษาภาวะไขมันพอกตับอีกด้วย (fatty liver)
ดอกคำฝอย มีสารสีเหลืองส้ม คนโบราณใช้ในการแต่งสีอาหาร โดยการนำกลีบดอกมาแช่น้ำร้อน ซึ่งสารนั้นมีชื่อว่า Carthamin และ Sufflower yellow อีกทั้งในเมล็ดดอกคำฝอยยังมีน้ำมันระเหยยาก เรียกว่าน้ำมันเมล็ดดอกคำฝอย มีส่วนประกอบของกรดไขมันชนิดไม่อิ่มตัวหลายชนิด มีผลลดระดับโคเลสเตอรอลและไขมันตัวร้าย (LDL) และป้องกันการอุดตันของไขมันในเลือด รวมทั้งมีผลในการป้องกันโรคหัวใจได้ด้วย โดยอาจทานในรูปแบบชาชงวันละ 1 ครั้ง ครั้งละ 1 ซอง ตอนเย็นหรือก่อนนอน นอกจากนี้ยังพบว่าการรับประทานหอมเล็กหอมใหญ่เป็นประจำ ก็จะมีส่วนช่วยในการควบคุมระดับไขมันในเลือดได้ โดยกินเป็นประจำทุกวัน อย่างน้อยวันละ 1 หัว
9. กับ 4 อภินิหารผักฆ่าน้ำตาล
โรคเบาหวาน เป็นโรคเรื้อรัง ไม่สามารถรักษาให้หายขาดได้ !!! อ่านแล้วก็อย่าเพิ่งท้อใจไปนะคะ เพราะถึงแม้จะไม่สามารถรักษาให้หายขาดได้ แต่เราสามารถอยู่ร่วมโรคบนโลกนี้ได้อย่างมีความสุขค่ะ ตราบใดที่เรายังสามารถคุมระดับน้ำตาลในเลือดให้อยู่ตามเกณฑ์ ย้ำนะคะว่า...สามารถดำรงชีวิตได้อย่างมีความสุข เหมือนคนธรรมดาทั่วไปที่ไม่เป็นโรคเลย ถ้าสามารถคุมระดับน้ำตาลในเลือดให้อยู่ตามเกณฑ์ นี่คือเป้าหมายที่สำคัญค่ะ อ่านมาถึงตอนนี้แล้ว หลายๆคนก็อาจจะสงสัยขึ้นมาในใจแล้วใช่ไหมหล่ะคะว่า.....เกณฑ์คือเท่าไหร่ แล้วต้องทำยังไงถึงจะถึงจะบรรลุเป้าหมาย แล้วถ้าไม่สามารถคุมน้ำตาลได้ตามเกณฑ์ โรคนี้จะมีผลเสียอะไรบ้าง ?
ก่อนอื่นเรามาทำความรู้จักกับโรคเบาหวานกันก่อนค่ะว่าเกิดขึ้นได้อย่างไร โรคเบาหวานเกิดจากการที่ตับอ่อนไม่สามารถสร้างฮอร์โมนอินซูลินได้ หรือสร้างออกมาแล้วทำงานได้ไม่ดีพอ การทำงานของอินซูลิน คือทำหน้าที่นำน้ำตาลในเลือดไปสู่เนื้อเยื่อต่างๆ ทั่วร่างกายเพื่อสร้างพลังงาน ดังนั้นถ้าร่างกายผู้ป่วยโรคเบาหวานมีอินซูลินไม่เพียงพอก็จะทำให้มีน้ำตาลในเลือดสูงขึ้น ผู้ที่มีอาการของโรคเบาหวานชัดเจนคือ หิวน้ำมาก ปัสสาวะบ่อยและมาก น้ำหนักตัวลดลงโดยที่ไม่มีสาเหตุ ควรเจาะตรวจระดับน้ำตาลในเลือด โดยมีเกณฑ์ว่าถ้าเจาะหลังอดอาหาร 8 ชั่วโมง แล้วพบว่าน้ำตาลในเลือดมากกว่าหรือเท่ากับ 126 มก./ดล. หรือสุ่มเจาะน้ำตาลในเลือดโดยที่ไม่ได้อดอาหาร แล้วพบว่าน้ำตาลในเลือดมากกว่าหรือเท่ากับ 200 มก./ดล. ก็จะถือว่าคนผู้นี้เป็นเบาหวาน แต่สำหรับคนที่ระดับน้ำตาลในเลือดหลังอดอาหาร 8 ชั่วโมง อยู่ในช่วง 100-125 มก./ดล. หรือสุ่มเจาะน้ำตาลในเลือดโดยที่ไม่ได้อดอาหาร แล้วพบว่าน้ำตาลในเลือดอยู่ในช่วง 140-199 มก./ดล. จะถือว่าคนผู้นี้มีความเสี่ยงที่จะเป็นเบาหวาน แพทย์อาจยังไม่เริ่มยา แต่ผู้ป่วยควรควบคุมอาหาร และออกกำลังกายเพิ่มขึ้น
ทั้งคนที่ได้รับการวินิจฉัยว่าเป็นเบาหวานและเสี่ยงที่จะเป็นเบาหวาน จะต้องควบคุมการรับประทานอาหารโดยลดการทานของหวานลง รวมถึงอาหารจุกจิก ขนมนมเนย และไม่กินมากกว่าที่ใช้พลังงาน เพราะพลังงานที่เหลือใช้จากการกินอาหารมากเกินไป ก็สามารถเปลี่ยนเป็นน้ำตาลและไขมันในร่างกายได้ ในคนที่ได้รับการวินิจฉัยว่าเป็นเบาหวานแล้ว แพทย์อาจพิจารณาให้ยารักษา ซึ่งการรับประทานยาต่อเนื่องและมีการติดตามผลกับแพทย์ตามนัดสม่ำเสมอ ควบคู่การควบคุมอาหาร และออกกำลังกายด้วยก็จะทำให้เราควบคุมระดับน้ำตาลในเลือดได้ตามเป้าหมาย โดยเป้าหมายการรักษาเบาหวาน จะถือว่าได้ผลดีต่อเมื่อ สามารถควบคุมระดับน้ำตาลในเลือดได้อยู่ระหว่าง 70-130 มก./ดล. เมื่อเจาะระดับน้ำตาลในเลือดหลังอดอาหาร 8 ชั่วโมง หรือไม่เกิน 180 มก./ดล. เมื่อสุ่มเจาะน้ำตาลในเลือดโดยที่ไม่ได้อดอาหาร หรือเมื่อเจาะค่าน้ำตาลสะสม หรือที่เรียกว่าค่า HbA1c แล้วได้ค่าไม่เกิน 7% ซึ่งโดยปกติแล้วค่าน้ำตาลสะสม แพทย์มักจะเจาะตรวจทุก 3-6 เดือน เพื่อดูว่าระดับน้ำตาลของผู้ป่วยระหว่างวันที่ไม่ได้มาพบแพทย์นั้นสามารถควบคุมระดับน้ำตาลได้ดีทุกวันสม่ำเสมอหรือไม่ ค่า HbA1c เป็นค่าที่ค่อนข้างแม่นยำ เพราะแสดงถึงน้ำตาลที่เกาะบนเม็ดเลือดแดง ซึ่งเม็ดเลือดแดงของคนเราก็จะมีอายุอยู่ได้ประมาณ 120 วัน ค่า HbA1c จึงสะท้อนถึงค่าเฉลี่ยของน้ำตาลในเลือดตลอดช่วงประมาณ 4 - 12 สัปดาห์ที่ผ่านมาได้ค่อนข้างดี เพราะมีผู้ป่วยบางคนเวลาแพทย์นัดเจาะน้ำตาลปลายนิ้ว จะอดอาหารก่อนมาพบแพทย์ตามนัดล่วงหน้า 2-3 วัน ค่าน้ำตาลในเลือดก็สามารถลดลงมาได้ เหมือน
ทำให้ตัวเลขน้ำตาลดูดีขึ้นมาเพียงผิวเผิน ทั้งๆที่ก่อนหน้าไม่เคยควบคุมการทานอาหารเลย แต่ถ้าลองมาเจาะค่า HbA1C ก็จะพบว่ามีค่าสูง (นี่เป็นตัวอย่างที่ไม่ดีของผู้ป่วยที่ชอบหลอกหมอนะคะ) หากผู้ป่วยสามารถคุมค่าน้ำตาลในเลือดให้ได้ตามเป้าหมายแล้ว ผลดีที่จะเกิดขึ้นก็คือ สุขภาพที่แข็งแรงค่ะ ไม่เกิดโรคแทรกซ้อนที่มักพบตามมาในโรคเบาหวาน เพราะโรคเบาหวานเป็นเพชรฆาตเงียบค่ะ เหมือนจะไม่มีอาการแสดงใดๆ แต่หากผู้ป่วยหลงระเริงปล่อยปละละเลยไม่สนใจ ยาก็ทานบ้าง ลืมบ้าง อาหารก็ไม่คุม เพราะคิดว่าไม่เป็นไร โรคนี้ก็จะค่อยๆ ชักชวนเพื่อนโรคอื่นๆ เข้ามากล้ำกราย เช่น โรคต้อกระจก โรคไต โรคชาปลายมือปลายเท้า โรคหัวใจ โรคอัมพฤกษ์อัมพาต หรือเวลาเกิดบาดแผล แผลก็จะติดเชื้อหายช้ามาก บางคนถึงขั้นต้องสูญเสียอวัยวะ เช่นตัดขา เพราะเกิดแผลเรื้อรังรักษาไม่หาย เพราะฉะนั้นไม่คุ้มกันเลยนะคะที่จะปล่อยให้โรคต่างๆ แบบนี้เกิดขึ้นกับตัวเรา ทั้งๆ ที่เราสามารถที่จะป้องกันได้ เริ่มตั้งแต่วันนี้ด้วยการคุมน้ำตาลให้อยู่ในค่าเป้าหมายแค่นั้นเองค่ะ
ที่ต้องอธิบายเกี่ยวกับโรคเบาหวานมายืดยาว ก็เพราะว่าผู้ป่วยบางคนขาดความเข้าใจถึงความร้ายแรง หรือผลเสียของโรค ทำให้ละเลยการปฏิบัติดูแลตนเอง สำหรับใครที่สนใจจะทานสมุนไพรเพื่อรักษาเบาหวานก็ขอแนะนำว่าสมุนไพรเหล่านี้เป็นเพียงทางเลือกเสริม โดยเฉพาะในคนที่ทานยาแผนปัจจุบันแล้วยังไม่สามารถลดระดับน้ำตาลในเลือดให้ลงมาอยู่ในค่าเป้าหมายได้ การติดตามผลน้ำตาลและโรคแทรกซ้อน โดยการไปพบแพทย์ตามนัดสม่ำเสมอก็ยังเป็นสิ่งที่สำคัญและจำเป็นค่ะ รวมถึงการแจ้งแพทย์เกี่ยวกับสมุนไพรที่เราเลือกใช้เสริมเข้ามา เพราะแพทย์จะได้พิจารณาปรับยาให้ผู้ป่วยให้ได้อย่างเหมาะสมค่ะ
4 อภินิหารผักฆ่าน้ำตาล
เป็นผักที่มีงานวิจัยสนับสนุนว่าช่วยในการลดน้ำตาลได้ จึงมีส่วนช่วยในการควบคุมน้ำตาลในเลือดของผู้ป่วยเบาหวานควบคู่กับการรักษาด้วยยาแผนปัจจุบัน นอกจากนี้ยังเป็นพืชผักที่กินกันอยู่แล้ว หาได้ง่าย และมีความปลอดภัยสูง โดยผู้ป่วยอาจเลือกใช้ผักเหล่านี้ชนิดใดชนิดหนึ่ง โดยอาจใช้สลับเปลี่ยนหมุนเวียนกันไป ในคนที่คุมน้ำตาลได้ดีอยู่แล้วด้วยยาของแพทย์ อาจทานเพียงเล็กน้อย เพื่อป้องกันไม่ให้น้ำตาลในเลือดตกมากเกินไป
1.มะระขี้นก – มีผลกระตุ้นการหลั่งอินซูลิน ยับยั้งการสร้างกลูโคส ทำให้มีผลลดน้ำตาลในเลือดได้ วิธีใช้คือ คั้นน้ำจากผลสดมื้อละ 2-3 ผล โดยเอาเมล็ดในออก ใส่น้ำลงไปเล็กน้อย ปั่นคั้นเอาแต่น้ำดื่ม 3 เวลา ก่อนอาหาร หรือนำเนื้อมะระผลเล็ก (มีตัวยามาก) ผ่านำเมล็ดออก หั่นเนื้อมะระเป็นชิ้นเล็กๆ ตากแดดให้แห้ง แล้วนำมาชงกับน้ำเดือด (มะระ 1-2 ชิ้น ต่อน้ำ 1 ถ้วย) ดื่มเป็นน้ำชา ครั้งละ 1-2 ถ้วย วันละ 3 เวลา ก่อนอาหาร หรือกินในรูปแบบแคปซูลครั้งละ 500-1000 มิลลิกรัม วันละ 1-2 ครั้ง มะระขี้นก จะมีรสขมมากกว่ามะระจีน วิธีลดความขมของมะระขี้นกทำได้ด้วยการต้มน้ำให้เดือดจัด ใส่เกลือประมาณหยิบมือ แล้วลวกมะระในน้ำเดือดสักครู่ จะทำให้ความขมลดลง มะระที่สุกแล้วจะมีสารซาโปนิน (Saponin) ในปริมาณมาก การรับประทานอาจทำให้มีอาการอาเจียน ท้องร่วงได้ ดังนั้นควรทานผลอ่อน ข้อควรระวังคือ คนท้อง เด็กและคนที่มีน้ำตาลในเลือดต่ำไม่ควรกิน และควรรับประทานในปริมาณที่พอดี อย่าทำอะไรเกินเลย เพราะความขมจัดของมะระขี้นก อาจทำให้ตับทำงานหนักขึ้น
2.ช้าพลู – มีงานวิจัยพบว่าน้ำช้าพลูลดน้ำตาลในเลือดของกระต่ายที่เป็นเบาหวานได้ แต่ไม่สามารถลดน้ำตาลในเลือดของกระต่ายปกติได้ วิธีใช้ นำช้าพลูทั้งต้นตลอดถึงราก 1 กำมือ พับเถาเป็น 3 ทบ ใช้ตอกไม้ไผ่มัดเป็น 3 เปลาะ ใส่หม้อต้มกับน้ำพอท่วม ต้มจากน้ำ 3 ส่วน เหลือ 1 ส่วน กินครั้งละครึ่งแก้ว วันละ 3 ครั้งก่อนอาหาร
3.ผักเชียงดา มีผลช่วยป้องกันการดูดซึมของน้ำตาล ฟื้นฟูเซลล์ตับอ่อนที่สร้างอินซูลิน และลดน้ำตาลในเลือดได้ วิธีใช้ให้ใช้ใบแห้งชงกินเป็นน้ำชา ครั้งละ 4 กรัม วันละ 2-3 ครั้ง หรือทานเป็นผักในมื้ออาหาร
4.ตำลึง – มีการใช้เป็นยารักษาเบาหวานมานานนับพันปี จากการทบทวนผลการศึกษาวิจัยอย่างเป็นระบบของสมุนไพรที่มีฤทธิ์ลดน้ำตาลในเลือดของทีมนักวิชาการจาก Harvard Medical School พบว่าตำลึงและโสม มีหลักฐานสนับสนุนประสิทธิผลที่ดีที่สุดจากการที่มีการออกแบบการทดลองได้อย่างเหมาะสม ตำลึงแสดงผลการลดน้ำตาลทั้งในสัตว์ทดลองและในคน ตำลึงให้ผลลดน้ำตาลทั้งส่วนที่เป็นใบ ราก ผล โดยใช้เถาแก่ๆ ประมาณ 1 กำมือ ต้มกับน้ำ หรือน้ำคั้นจากผลดิบ ดื่มวันละ 2 ครั้ง เช้า-เย็น
10. ลูกยอ
รักษากรดไหลย้อนได้ โดยมีผลช่วย
- ช่วยเพิ่มการบีบตัวของหลอดอาหาร ทำให้หูรูดหลอดอาหารแข็งแรงขึ้น และทำให้อาหารเคลื่อนจากกระเพาะไปสู่ลำไส้เล็กได้ดีขึ้น
ช่วยป้องกันหลอดอาหารอักเสบจากกรดไหลย้อน
- ช่วยย่อยอาหาร ขับลม ทำให้อาหารไม่ตกค้าง ไม่เกิดลมในกระเพาะอาหาร ลดการเกิดแรงดันที่ทำให้กรดไหลย้อน
- ช่วยเร่งการสมานแผลของกระเพาะอาหาร
- ลดการอักเสบของกะเพราะอาหารเฉียบพลันจากแอลกอฮอล์
- ลดการหลั่งกรดได้ดีเทียบเท่ากับยารานิทิดีนและแลนโซพราโซล
สมุนไพรที่อาจใช้ร่วมกัน คือ ขมิ้นชัน เนื่องจากขมิ้นชันมี
สรรพคุณในการรักษาอาการท้องอืด และช่วยขับน้ำดีเพื่อย่อยไขมัน ทำให้อาหารไม่ตกค้างในกระเพาะอาหาร และลำไส้เล็กนานเกินไป ทั้งช่วยรักษาแผลในกระเพาะอาหารได้อีกด้วย
“โรคกรดไหลย้อน" หมายถึง การที่น้ำย่อย ซึ่งประกอบด้วยกรดเกลือในกระเพาะอาหารไหลย้อนขึ้นไประคายต่อหลอดอาหาร และบริเวณลำคอ ทำให้มีอาการแสบลิ้นปี่ คล้ายเป็นโรคกระเพาะเรื้อรัง โรคนี้เกี่ยวข้องกับความผิดปกติของการทำหน้าที่ของกล้ามเนื้อหูรูดที่อยู่ตรงส่วนล่างของหลอดอาหาร ซึ่งกล้ามเนื้อหูรูดนี้จะคลายตัวเมื่อมีอาหารไหลผ่านลงไปในกระเพาะอาหาร
เมื่ออาหารผ่านลงกระเพาะอาหารจนหมดแล้ว หูรูดนี้จะหดรัดเพื่อปิดกั้นไม่ให้กรดที่อยู่ในกระเพาะอาหารไหลย้อนขึ้นไปที่หลอดอาหาร ผู้ที่เป็นโรคกรดไหลย้อนนั้น กล้ามเนื้อหูรูดตรงส่วนล่างของหลอดอาหารนี้จะหย่อนสมรรถภาพ ทำให้มีน้ำย่อยไหลย้อนขึ้นไปที่หลอดอาหารมากกว่าปกติ โดยคนปกติไหลย้อนได้ 1-4 ครั้ง
แต่ไม่ทำให้เกิดอาการแต่อย่างใด สาเหตุ ยังไม่ทราบแน่ชัด แต่เชื่อว่าอาจเกิดจากความเสื่อมตามอายุ และมีความสัมพันธ์กับความอ้วน ภาวะตั้งครรภ์ โรคเบาหวาน และโรคไส้เลื่อนกะบังลม โดยปัจจัยเสริมนั้นมาจากการที่มีแรงดันภายในกระเพาะอาหาร และลำไส้ เช่น รัดเข็มขัดแน่นเกินไป มีแก๊สมากจากอาหารที่ไม่ย่อย หรืออาหารที่ก่อให้เกิดแก๊สหรือการหลั่งของกรดมากขึ้น เช่น น้ำอัดลม กาแฟ เครื่องดื่มชูกำลัง แอลกอฮอล์ ***บุหรี่*** หัวหอม กระเทียม ซอสมะเขือเทศ น้ำมะเขือเทศ น้ำองุ่น น้ำผลไม้เปรี้ยว
(เช่น น้ำส้มคั้น) ผลไม้เปรี้ยว ช็อกโกแลต สะระแหน่ หรืออาหารเผ็ดจัด เป็นต้น นอกจากนี้ อาหารย่อยยาก เช่น อาหารทอด อาหารมัน และยาบางชนิด จะทำให้กระเพาะอาหารเคลื่อนที่ช้าลง โอกาสเกิดกรดไหลย้อนก็มากขึ้น รวมทั้งการนอนราบการรับประทานอาหารที่อิ่มเกินไป ควรเอนตัวหลังจากทานอาหารไปแล้ว 2 ชั่วโมง และความเครียด ก็มีผลเช่นกัน การดูแลตัวเอง ควรลดละปัจจัยเสริมทั้งหมดที่กล่าวไว้ เพื่อลดการกำเริบของโรค
สำหรับการทานยอเพื่อรักษากรดไหลย้อน สามารถทานเป็นน้ำลูกยอ 1-2 ช้อนโต๊ะ หรือทาน 1-2 แคปซูล ก่อนอาหาร 15-30 นาที เช้า กลางวัน เย็น
11. สมุนไพรต้านพิษสัตว์ร้าย
......ช่วงนี้ฤดูฝน ภัยอีกอย่างหนึ่งที่มักจะมาพร้อมกับฝนคือ อันตรายจากสัตว์มีพิษ เช่น งูพิษ ตะขาบ แมงป่อง หรือแม้แต่แมงมุม ก็เป็นที่ฮือฮาว่าพบสายพันธุ์ที่มีพิษแรงขึ้นเรื่อยๆ สมุนไพรที่พอจะช่วยรับมือกับสัตว์มีพิษต่างๆนี้จึงมีความสำคัญในการปฐมพยาบาลเบื้องต้นก่อนถึงมือแพทย์ มารู้จักสมุนไพรที่เป็นภูมิปัญญาของคนไทยที่ใช้แก้พิษแมลงสัตว์กัดต่อยกันเถอะ
กระดูกไก่ดำ
นำรากและใบนำมาตำผสมกัน ใช้เป็นยาพอกถอนพิษจากแมลงสัตว์กัดต่อย เช่น พิษงู ผึ้ง ต่อ แตนต่อย เป็นต้น
ตะขาบบิน
ใช้ถอนพิษแมงป่องและตะขาบกัดต่อยแก้ฟกช้ำบวม ได้อย่างดี การนำใช้ประโยชน์ของชาวบ้านจะใช้ต้นและใบสด ตำผสมเหล้า หรือกับน้ำซาวข้าว คั้นเอาน้ำใช้ทา ส่วนกากใช้พอก
เสลดพังพอน
ราชาแห่งสมุนไพรรักษาผิวหนัง และมีข้อมูลงานวิจัยว่าช่วยต้านพิษจากสัตว์ได้มากที่สุดถึง 8 ชนิด คือ ผึ้ง ต่อ แตน ตะขาบ แมงป่อง มด ยุง งู การนำมาใช้จะใช้เป็นเสลดพังพอนตัวผู้หรือตัวเมียก็ได้ ใช้ใบที่ไม่อ่อนไม่แก่จนเกินไป ประมาณ 25-30 ใบ นำมาล้างน้ำให้สะอาด ให้คนที่ถูกงูหรือสัตว์มีพิษกัดเคี้ยว กลืนแต่น้ำ กากคายออกมาพอกแผล ใบเสลดพังพอนจะช่วยดูดพิษ และทำให้อาการปวดทุเลาลงภายในเวลา 30-45 นาที หรือจะใช้ส่วนราก ซึ่งมีรสจืดเย็น ฝนกับสุราดื่ม ทาแก้พิษงู แมลงสัตว์กัดต่อย ถอนพิษตะขาบ แมลงป่อง
หอมแดง
หาง่ายที่สุดเพราะมีทุกครัวเรือน ใช้แก้พิษแมงมุม อันนี้เป็นประสบการณ์บอกเล่าของผู้ป่วยที่ไปหาหมอแผนโบราณ หมอให้เอาหัวหอมแดงทุบให้บุบ ผสมกับยาหม่องใช้ทาบริเวณที่โดนกัดและให้กิน ด้วย ทำทุก ๆ 5-10 นาที สัก 3-4 ครั้งอาการดีขึ้นอย่างน่าประหลาด ที่ต้องแก้ด้วยหอมแดง เพราะพิษแมงมุมเป็นพิษเย็นจึงต้องใช้ของร้อนอย่างหอมแดง และเร่งสรรพคุณด้วยยาหม่องช่วยขับพิษออกไปได้
โลดทะนงแดง
ในแวดวงหมอพื้นบ้านที่เชี่ยวชาญด้านการรักษาพิษงูหรือสัตว์มีพิษกัดต่อย ต้องรู้จักประโยชน์และการใช้ประโยชน์ของสมุนไพรโลดทะนงแดงเป็นอย่างดี เพราะสมุนไพรตัวนี้มีความโดดเด่นในการถอนพิษสัตว์ร้ายได้ดีมาก บางรายมีพิษตกค้างสะสมในร่างกายเป็นเวลานานหลายปี แต่พอได้รับการรักษาจากหมอพื้นบ้านผู้เชี่ยวชาญโดยการใช้โลดทะนงแดงถอนพา อาการที่เกิดจากพิษนั้นก็หายลุล่วงด้วยดี วิธีการใช้ในการรักษาพิษ หมอพื้นบ้านจะใช้ส่วนของรากโลดทะนงแดง ฝนกับน้ำมะนาว หรือผสมกับเมล็ดหมาก ดื่มและทาแผลแก้พิษงู ตะขาบ หรือแมงมุมพิษ
ปัจจุบันมีการใช้ตำรับยาโลดทะนงแดง ในผู้ป่วยที่โดนงูเห่ากัดที่โรงพยาบาลกาบเชิง โดยนำตำรับยาโลดทะนงแดงมารักษาผู้ป่วยถูกงูพิษกัดตั้งแต่ปี 2526 ซึ่งดั้งเดิมเป็นสูตรหมอพื้นบ้าน ส่วนที่นำมาเป็นยาคือ ส่วนราก มีผลยับยั้งประสิทธิภาพการทำงานของพิษงูเห่า โดยนำรากมาฝนและใช้ร่วมกับผงบดของผลหมากสุกที่แห้งแล้ว แล้วนำมาผสมน้ำมะนาวและพอกที่แผลงูกัด และผสมน้ำดื่มเพื่อช่วยขับพิษด้วย ขณะนี้ รพ.ได้พัฒนาวิธีการใช้ในการรักษาให้สะดวก รวดเร็ว โดยบดรากโลดทะนงแดงเป็นผงแห้ง สามารถนำมาผสมกับผงหมากสุกแห้งและน้ำมะนาวใช้ได้ทันทีเมื่อมีผู้ป่วย
ทีมนักวิจัยมหาวิทยาลัยมหาสารคามได้ศึกษาวิจัยใช้ตำรับยาโลดทะนงแดง รักษาตำรวจตะเวนชายแดน จ.สุรินทร์ 36 นาย ที่ถูกงูเห่ากัด พบว่าได้ผลดี ไม่มีการเสียชีวิตแม้แต่รายเดียว ไม่พบผลข้างเคียง ในการรักษาพิษงูเห่าดังกล่าวไม่ใช้เซรุ่มแก้พิษงูแต่อย่างใด จนถึงขณะนี้ รพ.ใช้ตำรับยาโลดทะนงแดงรักษาประชาชนที่ถูกงูเห่ากัดประมาณ 80 ราย ทุกรายปลอดภัย ไม่มีเสียชีวิต ปัจจุบันตำรับยาโลดทะนงแดงของ รพ.กาบเชิง ได้นำไปใช้เป็นยาช่วยชีวิตขั้นต้นที่ห้องฉุกเฉิน ผู้ป่วยที่รักษาด้วยยาสมุนไพรจะนอน รพ.1-2 วัน และขณะนี้นำสมุนไพรโลดทะนงแดงไปใช้รักษาผู้ป่วยที่ถูกงูกัดในภาคใต้ คือ รพ.ท่าฉาง จ.สุราษฎร์ธานี ซึ่งเป็น รพ.ต้นแบบการให้บริการแพทย์แผนไทยแบบครบวงจรของ สธ. ที่มีระบบการส่งเสริมการผลิตยาใน รพ. และการใช้ใน รพ. และในชุมชนด้วย
ตำลึง
นำใบหรือใช้ทั้งต้น มาตำหรือขยี้ หรือฝนกับเหล้าขาวแล้วนำมาพอก แก้พิษตะขาบ ผึ้ง มดแดง มดคันไฟ
อย่างไรก็ตามแนะนำว่าหากโดนงูกัด หรือโดนพิษของสัตว์อย่างรุนแรง เช่น ผึ้งจำนวนมากต่อย เบื้องต้นให้รีบไปโรงพยาบาลโดยด่วนเป็นอันดับแรกก่อนค่ะ เพราะบางครั้งอาจมีความจำเป็นต้องให้ยาทางเส้นเลือดโดยเร็ว ก่อนจะเกิดอันตรายขึ้น หรือเราอาจไม่ทราบชนิดงู และการรักษาอาจมีความจำเป็นต้องใช้ซีรุ่มเพื่อช่วยชีวิตไว้
แหล่งอ้างอิง
http://drug.pharmacy.psu.ac.th/Question.asp?ID=1971&gID=3
http://www.thaipost.net/tabloid/100213/69319
http://www.thaipost.net/tabloid/010712/58957
http://www.mcot.net/site/content?id=4ff6752d0b01dabf3c0447c5#.U9iZ1k3oSpg
http://www.phargarden.com/main.php?action=viewpage&pid=120
http://frynn.com/กระดูกไก่ดำ/
http://thaimed.buu.ac.th/file%20downlode/research/13.pdf
http://webcache.googleusercontent.com/search?q=cache%3AawpRFzWNlvoJ%3Ahealth.kapook.com%2Fview18443.html+&cd=2&hl=th&ct=clnk&gl=th
12. เถาวัลย์เปรียง
เป็นสมุนไพรที่ใช้กันมาแต่โบราณ สำหรับแก้ปวดเมื่อย แก้เส้นเอ็นตึง ซึ่งเมื่อได้ค้นคว้าข้อมูลเพิ่มเติมก็พบว่าเถาวัลย์เปรียงนั้น มีฤทธิ์แก้ปวดลดอักเสบ เทียบเท่ายาแผนปัจจุบัน
แต่มีผลระคายเคืองต่อกระเพาอาหารน้อยกว่า อีกทั้งยังมีคนสมัยก่อนใช้ต้มกินเพื่อรักษาตกขาว ทั้งนี้คาดว่าน่าจะมาจากฤทธิ์เพิ่มภูมิคุ้มกันได้ของเถาวัลย์เปรียง โดยมีงานวิจัยเถาวัลย์เปรียงของกรมวิทยาศาสตร์การแพทย์ที่พบว่าสามารถเพิ่มภูมิคุ้มกันคือ CD4 ในผู้ติดเชื้อเอดส์
จากข้อมูลที่ชัดเจนด้านประสิทธิภาพ รวมถึงความปลอดภัยที่กรมวิทยาศาสตร์ทางการแพทย์พบว่าไม่มีพิษเฉียบพลันและพิษฌรื้อรัง ทำให้ปัจจุบันเถาวัลย์เปรียงแคปซูลได้รับการบรรจุอยู่ในบัญชียาหลักแห่งชาติ โดยมีขนาดรับประทานอยู่ที่ ครั้งละ 500 มิลลิกรัม – 1 กรัม วันละ 3 ครั้ง หลังอาหาร ทานเวลามีอาการปวดเมื่อย หรือใช้เถาหั่นเป็นชิ้นๆ ตากแห้ง แล้วนำมาคั่วไฟให้หอม หรือจะไม่คั่วก็ได้ ใช้ประมาณ 1 กำมือ ใส่น้ำพอท่วม ต้มจากน้ำ 3 ส่วน เหลือครึ่งหนึ่ง กินมื้อละ 1 แก้ว หลังอาหาร เช้า กลางวัน เย็น
13. สมุนไพรรักษาโรคกระเพาะอาหาร
โอ้ยยย...รู้สึกไม่สบายท้องเลย กินอะไรเข้าไปก็แน่นท้อง เป็นๆ หายๆ เมื่อไหร่จะหายสักที
อาการข้างต้น เป็นอาการของโรคกระเพาะอาหาร หลายๆคน อาจเข้าใจผิดว่าโรคกระเพาะอาหาร คือ โรคที่เกิดจากกระเพาะอาหารโดนน้ำย่อยกัดจนเป็นแผล แต่ทราบไหมคะว่า ผู้ป่วยส่วนใหญ่ 60-90% เป็นโรคกระเพาะอาหารชนิดไม่มีแผล (ทราบได้จากการส่องกล้อง) อาจพบเพียงการอักเสบเล็กน้อยของกระเพาะอาหารเท่านั้น แต่ไม่ว่าจะเป็นโรคกระเพาะอาหารแบบมีแผล หรือไม่มีแผล อาการของโรคก็มีความคล้ายคลึงกัน คือ ผู้ป่วยจะรู้สึกปวดจุกแน่นใต้ลิ้นปี่ หรือบริเวณเหนือสะดือ ท้องอืด อาการมักเป็นๆหายๆ มักเป็นเวลาท้องว่างหรือเวลาหิว อาการปวดหรือแน่นท้องจะดีขึ้นหลังทานอาหาร หรือได้รับยาลดกรด บางรายจะไม่มีอาการปวดท้อง แต่จะมีอาการแน่นท้องหรือรู้สึกไม่สบายในท้อง มีลมมากในท้อง ต้องเรอหรือผายลมจะดีขึ้น หรืออาจมีคลื่นไส้อาเจียน หรืออาการแสบร้อนยอดอกร่วมด้วย
สาเหตุของโรคกระเพาะอาหารพบได้หลากหลาย เช่น การติดเชื้อแบคทีเรียในกระเพาะอาหาร (ชื่อเชื้อHelicobacter pylori) มีการหลั่งกรดในกระเพาะมากเกิน ซึ่งอาจขึ้นได้จากความเครียดทางจิตใจ การทานอาหารรสจัด การดื่มชา กาแฟ น้ำอัดลม หรือเครื่องดื่มที่มีส่วนผสมของแอลกอฮอล์และคาเฟอีน หรือพฤติกรรมบางอย่างก็ส่งเสริมให้เกิดโรคกระเพาะอาหารได้ เช่น การทานอาหารไม่เป็นเวลา การสูบบุหรี่ (ทำให้อัตราการเป็นแผลกระเพาะอาหารเพิ่มขึ้น แผลหายช้า เป็นใหม่ได้ง่าย ทำให้การตอบสนองต่อการรักษาด้วยยาได้ผลไม่ดี) หรือการทานยาแก้ปวดกลุ่มที่ผลระคายเคืองกระเพาะอาหารบ่อยๆ (ชื่อกลุ่มยา NSAIDs เช่น ibuprofen, diclofenac, piroxicam เป็นต้น)
สำหรับการรักษาอันดับแรกก็ต้องหลีกเลี่ยงสาเหตุต่างๆ ที่กล่าวข้างต้น เช่น ลดการทานอาหารรสจัด ทานอาหารให้เป็นเวลา ไม่ซื้อยาแก้ปวดทานเองโดยไม่จำเป็น ในส่วนของยารักษาแผนปัจจุบันก็มีหลายกลุ่มยาที่แพทย์อาจสั่งใช้ร่วมกัน คือ
ยาลดการหลั่งกรด เป็นกลุ่มยารักษาหลัก ออกฤทธิ์โดยไปยับยั้งเซลล์ที่หลั่งกรดโดยตรง เช่น cimetidine, omeprazole และยาลดกรด ชนิดที่ออกฤทธิ์โดยการสะเทิน (neutralize) กรดที่หลั่งออกมา ซึ่งมักมีส่วนประกอบของ aluminium hydroxide และ magnesium hydroxide ตัวอย่างยา เช่น antacid นอกจากนี้ยังอาจมีกลุ่มยาช่วยย่อยและยาขับลม เสริมประสิทธิภาพในการรักษาให้ดีขึ้น กรณีติดเชื้อแบคทีเรีย ก็จะใช้ยาฆ่าเชื้อแบคทีเรียร่วมด้วย โดยทั่วไปโรคกระเพาะอาหารจะใช้เวลาทานยารักษาประมาณ 4 - 6 สัปดาห์ โดยผู้ป่วยต้องทานยาให้สม่ำเสมอ ครบตามจำนวนและระยะเวลาที่แพทย์สั่ง
ในส่วนของยาสมุนไพรมีหลายสูตรการรักษา เช่น
- ใช้ผงขมิ้นผสมน้ำผึ้งชงกับน้ำอุ่นดื่มวันละ 3-4 ครั้ง ติดต่อกันอย่างน้อย 5 วัน ช่วยรักษาโรคกระเพาะอาหารและรักษาโรคลำไส้อักเสบได้ นอกจากนี้ขมิ้นชันยังช่วยขับลม ลดอาการท้องอืดท้องเฟ้อ และมีผลต้านเชื้อ H.pylori ที่ทำให้เกิดแผลในกระเพาะอาหารได้อีกด้วย ที่สำคัญคือ ต้านการเกิดมะเร็งในทางเดินอาหารได้ (ปาก หลอดอาหาร กระเพาะอาหาร ลำไส้)
- วุ้นสดว่านหางจระเข้ กว้าง 3 นิ้ว ยาว 4 เซนติเมตร แบ่งทานสองครั้ง รักษาโรคกระเพาะ ช่วยสมานแผลและลดการอักเสบของกระเพาะอาหาร
- ใช้กล้วยน้ำว้าดิบฝานเป็นแว่นบางๆ ตากแดดอ่อนๆจนแห้ง ห้ามใช้ความร้อนสูงกว่านี้เด็ดขาด เพราะสารที่มีฤทธิ์รักษาโรคกระเพาะจะสูญเสียไป บดเป็นผง กินครั้งละ 1 ช้อนชา จะผสมกับน้ำผึ้งด้วยก็ได้ กินก่อนอาหารวันละ 3 เวลา
- กระเจี๊ยบเขียวฝักอ่อนตากแดด บดให้ละเอียด กินครั้งละ 1 ช้อนโต๊ะ ละลายน้ำ หรือนม หรือน้ำผลไม้กินวันละ 3-4 เวลา หลังอาหาร มีการศึกษาพบว่ามีฤทธิ์ยับยั้งเชื้อ H. pylori
- ใบเปล้าน้อย 1 กำมือ ต้ม 3 เอา 1 กินครั้งละครึ่งแก้วกาแฟ วันละ 2 ครั้ง หลังอาหาร เปลี่ยนใบยาทุกวัน กินอย่างน้อย 2 เดือน มีฤทธิ์สมานแผลในกระเพาะอาหารที่ดีมาก โดยกระตุ้นการสร้างเนื้อเยื่อทำให้แผลหายเร็ว ลดการหลั่งกรดในสัตว์ทดลอง
- ลูกยอ ช่วยป้องกันหลอดอาหารอักเสบจากกรดไหลย้อน ช่วยเร่งการสมานแผลของกระเพาะอาหารในหนูทดลอง และลดการอักเสบของกะเพราะอาหารเฉียบพลันจากแอลกอฮอล์ ลดการหลั่งกรดได้ดีเทียบเท่ากับยารานิทิดีนและแลนโซพราโซล ช่วยเพิ่มการบีบตัวของทางเดินอาหารได้ดีกว่ายาซิสซาพรายด์
- เพชรสังฆาต มีการศึกษาในหลอดทดลองพบว่า ออกฤทธิ์ยับยั้งเซลล์หลั่งกรดเหมือนกับยาแผนปัจจุบัน omeprazole ลดการทำลายเนื้อเยื่อในกระเพาะอาหาร โดยมีผลลดการเกิดแผลในกระเพาะอาหารจากแอสไพรินในหนูทดลอง และยังมีผลต้านเชื้อ H.pylori ที่ทำให้เกิดแผลในกระเพาะอาหารได้อีกด้วย
แหล่งอ้างอิง
http://www.phyathai.com/medicalarticledetail/1/3/17/th
http://www.ncbi.nlm.nih.gov/pubmed/22580040
http://www.ncbi.nlm.nih.gov/pubmed/21163341
http://www.ncbi.nlm.nih.gov/pubmed/19204190
http://onlinelibrary.wiley.com/doi/10.1046/j.1365-2036.2002.01339.x/pdf
http://examine.com/supplements/Cissus+quadrangularis/
http://www.cancer.org/treatment/treatmentsandsideeffects/complementaryandalternativemedicine/herbsvitaminsandminerals/turmeric
หนังสือบันทึกของแผ่นดินเล่ม 6 สมุนไพรท้องไส้...ในวิถี โดย ภญ.ดร.สุภาภรณ์ ปิติพร
14. หญ้าดอกขาว..
.หมอข้างกาย ทางสบายเลิกบุหรี่ ในสมัยก่อนชาวบ้านจะใช้หญ้าดอกขาวแก้อาการติดบุหรี่ เพราะกินแล้วจะทำให้เหม็นบุหรี่และไม่อยากสูบอีก ภายหลังจึงมีผู้วิจัยมากมายทำการศึกษาฤทธิ์ของหญ้าดอกขาวในการเลิกบุหรี่ โดยมีผลการศึกษาตรงกันว่าหญ้าดอกขาวช่วยลดอัตราการสูบบุหรี่ได้ และหากใช้ร่วมกับการออกกำลังกาย จะช่วยลดบุหรี่ได้มากขึ้น รวมถึงหญ้าดอกขาวยังทำให้สมรรถภาพร่างกายดีขึ้น เลือดมีสารต้านอนุมูลอิสระเพิ่มขึ้น และทำให้ก๊าซพิษคาร์บอนมอนอกไซด์ในปอดลดลง ที่สำคัญคือไม่มีผลข้างเคียงจากการใช้หญ้าหมอน้อย สำหรับวิธีการใช้ ให้ใช้หญ้าดอกขาว 2-3 ต้น ล้างน้ำให้สะอาด ใส่น้ำพอท่วมยา ต้มเดือดนาน 10 นาที แล้วดื่มบ่อยๆ เมื่อมีอาการอยากบุหรี่ หรือใช้ในรูปแบบชาชงขนาด 3 กรัม วันละ 3 ครั้ง หลังอาหาร
15. โรคมือเท้าปาก .
เป็นโรคติดต่อที่พบบ่อยในเด็กโดยเฉพาะเด็กอายุน้อยกว่า 5 ปี มักมีการระบาดช่วงฤดูฝน ตอนนี้โรงพยาบาลเจ้าพระยาอภัยภูเบศร แพทย์มีการสั่งใช้กลีเซอรีนพญายอในเด็กที่เป็นมือเท้าปากเพื่อป้ายแผลในปาก โดยมีผลลดการอักเสบ มีผลการรักษาที่ดีและมีความปลอดภัยสูง สาเหตุของโรคนี้เกิดจากเชื้อไวรัสสามารถติดต่อโดยตรงจากการสัมผัสน้ำมูก น้ำลาย และอุจจาระของผู้ป่วย สามารถติดต่อโดยอ้อมจากการสัมผัสผ่านของเล่น มือผู้เลี้ยงดู น้ำและอาหารที่ปนเปื้อนเชื้อ โรคมือเท้าปากมักระบาดในโรงเรียน ชั้นอนุบาลเด็กเล็ก หรือสถานรับเลี้ยงเด็ก โรคมีระยะฟักตัวประมาณ 1 สัปดาห์ จึงสามารถติดต่อกันได้โดยที่ยังไม่แสดงอาการ
เด็กที่เป็นโรคมือเท้าปาก มีอาการไข้ เจ็บปาก น้ำลายไหล กินอาหารได้น้อย เนื่องจากมีแผลที่กระพุ้งแก้มและเพดานปาก มีผื่นเป็นจุดแดงหรือตุ่มน้ำใสที่บริเวณฝ่ามือ ฝ่าเท้า รอบก้นและอวัยวะเพศ อาจมีผื่นตามลำตัว แขนและขาได้ มักมีอาการประมาณ 2-3 วันและดีขึ้นจนหายใน 1 สัปดาห์ ส่วนใหญ่มีอาการไม่รุนแรง
บางรายอาจมีภาวะขาดน้ำจากกินอาหารและน้ำน้อยลง
โรคมือเท้าปากยังไม่มียารักษาจำเพาะ หลักการรักษาเป็นการรักษาตามอาการ ให้ยาลดไข้ ยาแก้ปวด ยาชาเฉพาะที่สำหรับแผลในปาก ดื่มน้ำเกลือแร่เพื่อชดเชยภาวะขาดน้ำ เด็กที่มีอาการรุนแรงหรือภาวะแทรกซ้อนจำเป็นต้องได้รับการดูแลรักษาอย่าง ใกล้ชิด
ไม่มีวัคซีนป้องกันโรคนี้ การป้องกันที่สำคัญคือ แยกผู้ป่วยที่เป็นโรคไม่ให้ไปสัมผัสกับเด็กคนอื่น ผู้ใหญ่ที่ดูแลเด็กควรหมั่นล้างมือ เพื่อป้องกันการถ่ายทอดเชื้อไปยังเด็กคนอื่น หมั่นทำความสะอาดของเล่นและสภาพแวดล้อมทุกวัน การทำความสะอาดโดยใช้สบู่ ผงซักฟอกหรือน้ำยาทำความสะอาดทั่วไปสามารถกำจัดเชื้อได้ ควรระมัดระวังความสะอาดของน้ำ อาหารและสิ่งของที่เด็กอาจเอาเข้าปาก โรงเรียนไม่ควรรับเด็กป่วยเข้าเรียนจนกว่าจะหายดีเพื่อป้องกันการแพร่เชื้อ
ผู้ปกครองควรพาบุตรหลานที่ป่วยไปพบแพทย์ ให้การรักษาตามคำแนะนำของแพทย์ แจ้งโรงเรียนและเด็กควรหยุดเรียนจนกว่าจะหาย ใช้เวลาประมาณ 5-7 วัน โรคนี้หายได้เอง
แหล่งอ้างอิง นายแพทย์พรเทพ สวนดอก กุมารแพทย์เฉพาะทางโรคติดเชื้อ โรงพยาบาลกรุงเทพ
16. หญ้าเทวดา...รักษามะเร็ง
จากสถิติการตอบคำถามการใช้สมุนไพร พบว่าสมุนไพรที่ถูกถามเข้ามาบ่อยสุด คือสมุนไพรอะไรใช้รักษามะเร็ง? วันนี้เรารวบรวมข้อมูลสมุไพรหญ้าเทวดา (angle grass) หรือมีอีกชื่อว่าหญ้าปักกิ่งจากเว็บไซด์สถาบันมะเร็งแห่งชาติ รวมถึงงานวิจัยทั้งในและต่างประเทศ ซึ่งถือได้ว่าเป็นสมุนไพรที่เป็นทางเลือกในผู้ป่วยมะเร็งที่อาจใช้ควบคู่กับการรักษาแผนปัจจุบันค่ะ....หญ้าเทวดาหรือหญ้าปักกิ่งหรือเล่งจือเฉ้า เป็นพืชสมุนไพรที่มีถิ่นกำเนิดในประเทศจีนแถบสิบสองปันนา มีการนำเข้ามาและปลูกแพร่หลายในประเทศไทย เมื่อ ปี พ.ศ. 2527 มีผู้ป่วยมะเร็งดื่มน้ำคั้นสดจากหญ้าปักกิ่งเพื่อรักษาและบรรเทาอาการจากโรคมะเร็ง พบว่าสามารถยืดชีวิตต่อไปได้อีกระยะหนึ่ง บางรายใช้หญ้าปักกิ่งร่วมกับการรักษาแผนปัจจุบันเพื่อลดผลข้างเคียงเนื่องจากการใช้ยาเคมีบำบัด และเป็นที่น่าสนใจมากขึ้น เนื่องจากผู้ป่วยโรคมะเร็งรายหนึ่งที่แพทย์บอกว่าจะมีชีวิตอยู่อีก 3 เดือน ขอให้นำผู้ป่วยกลับไปพักฟื้นที่บ้าน แต่เมื่อผู้ป่วยกลับบ้านและดื่มน้ำคั้นจากหญ้าปักกิ่ง หลังจากนั้น 1 ปี ผู้ป่วยดังกล่าวยังมีชีวิตอยู่และกลับไปให้แพทย์คนเดิมตรวจ ผลจากผู้ป่วยรายนี้จึงทำให้เกิดการศึกษาวิจัยคุณสมบัติของพืชชนิดนี้เกิดขึ้น ในปัจจุบันจุดประสงค์ของการใช้หญ้าปักกิ่ง แบ่งออกเป็น 2 กลุ่มใหญ่ คือ
1. การใช้หญ้าปักกิ่งในผู้ป่วยโรคมะเร็ง โดยมีสรรพคุณว่า
- เพื่อให้คุณภาพชีวิตของผู้ป่วยมะเร็งดีขึ้น ลดความทุกข์ทรมาน บางรายมีอายุยืนยาวมากขึ้น
- เพื่อช่วยลดอาการข้างเคียงของยาเคมีบำบัดหรือรังสีบำบัด โดยมีงานวิจัยพบว่าน้ำคั้นหญ้าปักกิ่งช่วยลดผลข้างเคียงในผู้ป่วยที่ได้รับการฉายแสงและเคมีบำบัด เช่น อาการคลื่นไส้ อาเจียน เบื่ออาหาร แผลในปาก ปากแห้ง อ่อนเพลีย ปวดข้อและกล้ามเนื้อ ท้องเสีย ท้องผูก ผมร่วง และอาการไข้
2. การใช้ในผู้ป่วยอื่นที่ไม่ใช่ผู้ป่วยมะเร็ง
- เมื่อผู้ป่วยมีเม็ดเลือดขาวต่ำ อ่อนเพลีย น้ำหนักลด เมื่อใช้หญ้าปักกิ่ง พบว่าเม็ดเลือดขาวเพิ่มขึ้น น้ำหนักตัวเพิ่มขึ้น
- ผู้ป่วยเป็นแผลเรื้อรัง แผลอักเสบมีหนองหรือน้ำเหลืองไหล เมื่อใช้หญ้าปักกิ่ง พบว่าแผลแห้ง ไม่มีหนองและน้ำเหลือง
น้ำคั้นสดจากหญ้าปักกิ่ง มีสารสำคัญที่ออกฤทธิ์ ชื่อ กลัยโคสฟิงโคไลปิดส์ (จี 1 บี) มีฤทธิ์ยับยั้งปานกลางต่อเซลล์มะเร็งเต้านมและลำไส้ใหญ่ มีผลปรับระบบภูมิคุ้มกัน ต้านอนุมูลอิสระ ต้านการอักเสบ มีฤทธิ์ต้านการกลายพันธุ์ของยีนที่เกิดจากสารก่อกลายพันธุ์ชนิดต่างๆ มีฤทธิ์เหนี่ยวนำเอนไซม์ (DT-diaphorase) ซึ่งมีบทบาททำลายสารพิษที่ก่อให้เกิดมะเร็ง เช่น อะฟลาทอกซิน และสามารถลดความรุนแรงของการแพร่กระจายของมะเร็งในหนูได้ จึงคาดว่าสารสกัดดังกล่าวอาจใช้ป้องกันการเกิดมะเร็งได้ สำหรับความปลอดภัยในการใช้ มีการศึกษาในหนูทดลองพบว่ามีความปลอดภัยสูง ไม่ทำให้เกิดความผิดปกติในด้านการเจริญเติบโต ชีวเคมีในเลือด และพยาธิสภาพของอวัยวะสำคัญในหนูขาว และพบว่าน้ำคั้นจากหญ้าปักกิ่งขนาดที่ใช้รักษาในคน มีความปลอดภัยเพียงพอ หากใช้ติดต่อกันเป็นเวลา 3 เดือน
ขนาดและวิธีใช้
นำส่วนเหนือดิน (ลำต้นหรือใบ) น้ำหนักประมาณ 100-120 กรัม หรือจำนวน 3-6 ต้น แช่น้ำเกลือหรือน้ำด่างทับทิม 10 – 15 นาที และล้างน้ำให้สะอาด หั่นเป็นชิ้นเล็กๆ และโขลกในครกที่สะอาดให้แหลก เติมน้ำสะอาด 4 ช้อนโต๊ะ (60 มิลลิลิตร) กรองผ่านผ้าขาวบาง ดื่มครั้งละ 2 ช้อนโต๊ะ (30 มิลลิลิตร) วันละ 2 ครั้ง ก่อนอาหารเช้าครึ่งชั่วโมง และก่อนเข้านอนอีก 1 ครั้ง (ขนาดที่แนะนำสำหรับผู้ใหญ่น้ำหนักตัวเฉลี่ย 60 กิโลกรัม) หรือปั่นดื่มโดยใช้หญ้าปักกิ่ง 6-7 ต้น มาล้างให้สะอาด ใส่น้ำครึ่งแก้ว แล้วปั่นด้วยเครื่องปั่นน้ำผลไม้ นำมากรองกากออกด้วยตะแกรง แบ่งดื่มวันละ 2 ครั้ง เช้าและก่อนนอน หรือรับประทานในรูปแบบแคปซูลครั้งละ 3 แคปซูล วันละ 2 ครั้ง ก่อนอาหารเช้าและก่อนนอน สำหรับขนาดการทานในเด็กควรลดขนาดลงครึ่งหนึ่ง น้ำคั้นหรือปั่นจากหญ้าปักกิ่งที่ทำแต่ละครั้ง ควรเตรียมจากหญ้าปักกิ่งสด และควรดื่มให้หมดในแต่ละครั้ง ไม่ควรทำค้างไว้ เพราะอาจทำให้สรรพคุณของยาเสื่อมได้
โดยมีระยะเวลาการรับประทานขึ้นอยู่กับจุดประสงค์การใช้ยาดังนี้ คือ
1. ใช้เพื่อลดผลข้างเคียงจากรังสีบำบัดหรือยาเคมีบำบัดผู้ป่วยมะเร็ง จะรับประทาน 7 วัน หยุด 4 วัน
2. ใช้เพื่อป้องกันการแพร่กระจายและการกลับเป็นซ้ำอีก หลังจากการรักษาแล้ว โดยรับประทาน 7 วัน หยุด 4 วัน เช่นนี้ติดต่อกันประมาณ 1 ปี และตรวจมะเร็งปีละ 2 ครั้ง
3. ใช้เพื่อสร้างเสริมภูมิคุ้มกันในผู้ป่วยที่ไม่ได้เป็นโรคมะเร็ง รับประทาน 7 วัน หยุด 4 วัน เช่นนี้ติดต่อกัน เป็นเวลานานไม่เกิน 6-8 สัปดาห์ โดยใช้เฉพาะช่วงที่มีภูมิคุ้มกันต่ำ เช่น ขณะติดเชื้อไวรัส
นอกจากนี้จะมีการใช้หญ้าปักกิ่งในมะเร็งชนิดต่างๆ แล้ว ยังพบว่ามีประสบการณ์การใช้หญ้าปักกิ่งในการรักษาโรคอื่นๆ อีกด้วย เช่น เม็ดเลือดขาวต่ำ ปอดเป็นแผล หลอดลมอักเสบ ริดสีดวงทวาร หอบหืด ผื่นลมพิษ ช็อคโกแลตชีส ไทรอยด์เป็นพิษ
ท่านสามารถอ่านข้อมูลเพิ่มเติม เช่น การปลูก การใช้ ได้ที่ http://www.abhaiherb.com/knowledge/thaiherb/5195
17. สมุนไพรทางเลือกรักษานิ่วในไต
.
นิ่วในไต อาจเป็นก้อนหินแข็งเม็ดเดียว หรือหลายเม็ด อยู่ในกรวยไต ทำให้มีอาการปวดตื้อบริเวณไต หรือ เป็นไข้ หรือมีปัสสาวะเป็นเลือด แต่ผู้ป่วยบางคนอาจไม่มีอาการ หากนิ่วในไตหลุดลงมาในท่อไต ผู้ป่วยส่วนใหญ่จะมีอาการปวดท้องเฉียบพลันรุนแรงกะทันหัน นอกจากนี้ยังมีนิ่วที่เกิดในกระเพาะปัสสาวะ หรือท่อปัสสาวะ นิ่วที่อยู่ในกระเพาะปัสสาวะ อาจจะเกิดขึ้นเองในกระเพาะปัสสาวะ หรือหลุดมาจากไต หรือจากต่อมลูกหมากมาค้างอยู่ในกระเพาะปัสสาวะก็ได้ ผลเสียของนิ่วในไตคือ ทำให้มีอาการปวดท้องเมื่อนิ่วอุดท่อไต เสี่ยงต่อการติดเชื้อทางเดินปัสสาวะ และถ้านิ่วมีการอุดตันนานจะทำให้เกิดการเสื่อมของไต
75% ของนิ่ว พบว่าเกิดจากผลึกแคลเซียมออกซาเลต Calcium stones การรักษาแผนปัจจุบันมีทั้งการผ่าตัดและการใช้ยาสลายนิ่ว สำหรับในทางการแพทย์แผนไทย พบว่ามีสมุนไพรที่ช่วยรักษานิ่วได้ ซึ่งหลายท่านอาจจะเคยได้ยินบ่อยๆ ถึงสมุนไพรชนิดนี้ นั่นคือ หญ้าหนวดแมว โดยมีการศึกษาของ นพ.พิชัย ตั้งสิน และ ภญ.ปริศนา แสงเจษฎา ศึกษาฤทธิ์ของยาชงหญ้าหนวดแมว ในผู้ป่วยในทางเดินปัสสาวะส่วนบน เทียบกับไฮโดรคลอไรไธอาไซด์ และโซเดียมไบคาร์บอเนต
20. ฝักคูณ
สมุนไพร...ทำดีอาการท้องผูกเป็นปัญหาสำคัญหนึ่งที่หลายคนต้องเผชิญ และตามมาด้วยปัญหาการใช้ยาระบายที่ไม่เหมาะสม ผู้ป่วยที่มีอาการท้องผูกเรื้อรัง มีจำนวนมากขึ้นเรื่อยๆ เราจึงได้พัฒนายาระบายจากเนื้อฝักคูนและสมุนไพรหลายชนิด เพื่อปรับระบบการขับถ่ายให้สมดุล ปัจจุบันถูกจัดเข้าอยูาในบัญชียาของโรงพยาบาลเจ้าพระยาอภัยภูเบศร ทั้งนี้เราได้มีการติดตามผลของการใช้ยาระบายน้ำฝักคูณในผู้ป่วยที่มีสภาวะหลอดเลือดในสมองตีบหรือแตก ทำให้ร่างกายไม่สามารถเคลื่อนไหวได้ และมีปัญหาตามมา คือ อาการท้องผูกเรื้อรัง มีการใช้ยาระบายชนิดอื่นๆ มาแล้ว แต่ยังไม่ได้ผล พบว่าผู้ป่วยทุกคนสามารถขับถ่ายได้ดีหลังจากรับประทานยาระบายผสมน้ำฝักคูนแล้ว 6-8 ชั่วโมง โดยไม่มีอาการปวดมวนท้อง และท้องเสียค่ะตำรับยาระบายน้ำฝักคูน
โดยแบ่งกลุ่มผู้ป่วย 9 คน พบว่ากลุ่มที่ ได้รับยาหญ้าหนวดแมวมีการเคลื่อนตัวของนิ่วบริเวณกระดูกกระเบนเหน็บ และใช้ยาแก้ปวดไม่ต่างจากกลุ่มที่ใช้ยามาตรฐาน อีกการศึกษาหนึ่งของ รศ.นพ.วีรสิงห์ เมืองมั่น ภาควิชาศัลยกรรม คณะแพทยศาสตร์ รามาธิบดี มหาวิทยาลัยมหิดล ศึกษาในผู้ป่วยนิ่วในท่อไต ขนาดเท่าเม็ดมะละกอ หรือประมาณ 0.5 ซม. 23 คน ดื่มยาชงหญ้าหนวดแมว ใบขนาด 4 กรัม ในน้ำเดือด 750 ซีซี ต่อวัน เป็นเวลา 2-6 เดือน พบว่า 9 คน (40 %) มีนิ่วหลุดออกมา (ส่วนใหญ่ที่นิ่วหลุดจะหลุดภายใน 3 เดือน) 13 คน (60 %) หายปวดแต่นิ่วไม่หลุด หญ้าหนวดแมวมีปริมาณโพแทสเซียมที่สูง
ให้หลีกเลี่ยงการใช้ในผู้ป่วยโรคไตเรื้อรัง โดยเฉพาะในระยะท้ายๆ (ระยะที่ 3 และระยะที่ 4) ซึ่งมักจะมีปริมาณแร่ธาตุโพแทสเซียมที่สูง และต้องทานยาที่ช่วยควบคุมระดับแร่ธาตุโพแทสเซียมนี้ให้อยู่ในค่าที่เหมาะสม เนื่องจากปริมาณโพแทสเซียมที่สูงในเลือดอาจส่งผลให้หัวใจเต้นผิดปกติได้ อย่างไรก็ตามในคนปกติ ที่ไม่ได้มีการทำงานของไตบกพร่องสามารถทานได้ โดยไม่เกิดผลเสียใดๆ โดยหญ้าหนวดแมวมีฤทธิ์กระตุ้นการขับปัสสาวะ ช่วยในขับนิ่วในทางเดินปัสสาวะ และลดความดันโลหิตได้เล็กน้อย
สมุนไพรอีกชนิดหนึ่งที่ได้รับการยืนยันจากแพทย์ผู้เชี่ยวชาญโรคไต ว่าสามารถขับนิ่วได้ เป็นสมุนไพรใกล้ตัวในครัวเรือน นั่นคือ มะนาว เพราะน้ำมะนาวสามารถเพิ่มระดับ citrate ซึ่งป้องกันนิ่วที่เกิดจากเกลือแคลเซียมได้ โดยน้ำมะนาวนอกจากจะช่วยลดการสร้างนิ่วในไตแล้ว ยังป้องกันไม่ให้มีการก่อตัวของนิ่วในไต โดยลดการเกิดผลึกแคลเซียมออกซาเลทและผลึกยูริก โดยวิธีการใช้ คือ ใช้น้ำมะนาวปริมาณ 120 มิลลิลิตร เติมลงในน้ำประมาณ 2 ลิตร ดื่มต่างน้ำตลอดทั้งวัน หรือใช้น้ำมะนาวปริมาณ 60 มิลลิลิตร เติมลงในน้ำประมาณ 180 มิลลิลิตร แบ่งดื่ม 2 มื้อ เช้า เย็น หรือดื่มน้ำมะนาววันละครึ่งถ้วยชาทุกวัน นอกจากนี้ยังพบว่าการดื่มน้ำมะนาววันละ 85 มิลลิลิตรต่อวัน มีประสิทธิภาพในการรักษานิ่วเทียบเท่ากับยาโพแทสเซียมซิเตรต โดยยาโพแทสเซียมซิเตรต มีรายงานสามารถลดการเกิดนิ่วได้ร้อยละ85 แต่มีผลเพิ่มระดับโปแตสเซียมในเลือดได้ นอกจากนี้การปฏิบัติตัวก็มีส่วนสำคัญ โดยเฉพาะการดื่มน้ำมากๆ อย่างน้อยวันละ 8 แก้ว และลดการทานอาหารเค็ม เพราะเป็นสาเหตุให้เกิดนิ่วในไตได้ (เนื่องจากโซเดียมในเกลือจะไปเพิ่มการขับแคลเซียม )
18. "ขมิ้นชัน"
หลายคนอจจะรู้สึกคุ้นหน้า คุ้นตา คุ้นหู คุ้นชื่อกับสมุนไพรตัวนี้ แต่จะมีกี่คนที่รู้ว่า ขมิ้นชัน มีคุณอนันต์ ขนาดไหน....
ขมิ้นชัน
Curcuma longa Linn.
Zingiberaceae
● รักษาโรคกระเพาะ กรดไหลย้อน
● ขับลม แก้ท้องอืด
● ต้านมะเร็ง
● ป้องกันการแพร่กระจายของเซลล์มะเร็ง
● ต้านอนุมูลอิสระ ต้านการอักเสบ
● ทำให้ภูมิคุ้มกันทำงานปกติ ช่วยเพิ่มภูมิคุ้มกัน
● ป้องกันอัลไซเมอร์
● ป้องกันโรคหัวใจและหลอดเลือด
● ลดอาการแพ้ ลดผื่นคัน สมานผิว บำรุงผิว
# ห้ามใช้ในคนที่เป็นนิ่วในถุงน้ำดี หรือท่อน้ำดีอุดตัน และหญิงตั้งครรภ์ควรได้รับคำแนะนำ
19. บัวบก
ชื่ออังกฤษ Asiatic pennywort
ชื่อท้องถิ่น ผักแว่น, ผักหนอก, ปะหนะ, เอขาเด๊าะ
ชื่อวิทยาศาสตร์ Centella asiatica (Linn.) Urban.
วงศ์ Umbelliferae หรือ Apiaceae
บัวบกเป็นสมุนไพรเก่าแก่อีกชนิดหนึ่ง มีการใช้มานานกว่า 3000 ปี บัวบกใช้เป็นยาทั้งภายในและภายนอก บัวบกทั้งต้นนนนนมีกลิ่นฉุน รสขมหวาน ย่อยง่าย เป็นยาเย็น เป็นยาระบาย ยาบำรุง ช่วยฟื้นฟูสุขภาพ บำรุงเสียง ทำให้ความจำดีขึ้น ช่วยเจริญอาหาร แก้ไข้ แก้อักเสบ ผิวหนังด่างขาว โลหิตจาง หลอดลมอักเสบ
ตำรายาไทย ใช้บัวบกเป็นยาแก้ช้ำใน ภายนอกเป็นยารักษาแผล ช่วยแผลหายเร็ว ขับปัสสาวะ แก้อ่อนเพลีย บำรุงกำลัง อายุวัฒนะ
ปัจจุบัน มีการศึกษาฤทะิ์ทางเภสัชวิทยา พบว่า สารออกฤทธิ์ของบัวบกประกอบด้วย กลัยโคไซด์ ชื่อ อะเซียติโคไซด์ กรดอะเซียติก กรดมาเดคาสสิก ซิโตสเตียรอล แทนนิน เรซิน และแอลคาลอยด์ ไอโดรคอไทลีน เป็นต้น ซึ่งสารเหล่านี้ทำให้บัวบกมีฤทธิ์ต่างๆมากมาย ที่สำคัญ เช่น การรักษาบาดแผล ทำให้แผลหายเร็วขึ้น มีฤทธิ์ระงับประสาท ลดความดันโลหิตสูง ขับปัสวะ ทำให้ภูมิคุ้มกันดีขึ้น ต้านการอักเสบ
มีการทดสอบในหนู และมนเด็กพิเศษ พบว่า เมื่อับประทานบัวบกประจำ ทำให้มีการจดจำดีขึ้น ความจำดีขึ้น สมาธิดีขึ้นได้
ดูข้อมูลเพิ่มเติมได้จาก งานเสวนาบัวบกwww.abhaiherb.com/system/files/bawbkbrr..pdf
#นึกถึงสมุนไพรนึกถึงอภัยภูเบศร
เกิดจากการค้นคว้า วิจัยบนฐานความคิดของการแพทย์แผนไทย ที่ให้ความสำคัญกับ “สมดุล” และการคัดสรรส่วนผสมของสมุนไพรที่มีฤทธิ์ช่วยระบายในกลไกที่ต่างกัน เพื่อช่วยเสริมฤทธิ์ซึ่งกันและกัน ลดผลข้างเคียงของยาสมุนไพรแต่ละชนิด และไม่ทำให้เกิดการพึ่งพิงยา ซึ่งเป็นสาเหตุของอาการไซ้ท้อง ปวดบิด และท้องเสีย มีสรรพคุณช่วยในการปรับสมดุลของลำไส้ ปรับระบบขับถ่ายให้เป็นปกติไม่ก่อให้เกิดความเคยชินของลำไส้ ทำให้ไม่ต้องเพิ่มขนาดของยา
ตำรับยาระบายน้ำฝักคูน ประกอบด้วย1. เนื้อในฝักคูน มีสารประเภทแอนทราควิโนน (Anthraquinones) ปรับระบบการทำงานของลำไส้ทำให้การขับถ่ายดีขึ้น อุดมไปด้วยน้ำตาล วิตามิน เกลือแร่ และกรดอะมิโนแอซิด ที่เป็นประโยชน์ต่อร่างกาย จึงเป็นยาระบายที่เหมาะกับผู้สูงอายุ ที่ไวต่อการสูญเสียเกลือแร่จากการรับประทานยาระบาย2. ตรีผลา ประกอบด้วย ผลสมอไทย ผลสมอพิเภก ผลมะขามป้อม มีสรรพคุณช่วยทำความสะอาดลำไส้ ปรับการทำงานของลำไส้ ช่วยให้การขับถ่ายดีขึ้น เหมาะกับผู้ป่วยที่ท้องผูกเรื้อรัง แต่ในกรณีท้องผูกเรื้อรังการใช้ตรีผลาอย่างเดียวคงไม่เพียงพอ3. ใบมะกา ตำรับยาไทยใช้เป็นยาถ่ายเสมหะโลหิต (เป็นเมือกของเสียที่ติดอยู่ตามลำไส้ ซึ่งจะมีความร้อนอยู่) มีงานวิจัยพบว่า เป็นยาระบายที่มีประสิทธิภาพดีเทียบฤทธิ์เท่ากับมะขามแขก4. ดีปลี เพิ่มไฟธาตุในการย่อยอาหาร ลดการกำเริบของลม อันเป็นผลข้างเคียงของการใช้ยาระบาย (การรับประทานยาระบายจะทำให้มีลมในท้อง การย่อยอาหารจะไม่ดี)5. มะขามเปียก ความเปรี้ยวจะช่วยขับคูถเสมหะให้ลงสู่คูถทวารการขับถ่าย คือ หัวใจของการมีสุขภาพที่ดี มีพลังชีวิตที่ดี ดังนั้น อาการท้องผูก จึงไม่ใช่เรื่องที่ควรนิ่งนอนใจ เพราะการมีของเสียสะสมอยู่ในทางเดินอาหาร เป็นสาเหตุสำคัญของการเกิดโรคผนังลำไส้โป่งพอง มะเร็งในลำไส้ และริดสีดวงทวาร นอกจากการใช้ยาช่วยระบายแล้ว การรับประทานเครื่องเทศเพื่อช่วยในการย่อย การรับประทานอาหารที่มีกากใย มีความชุ่มชื้น การให้ความสำคัญกับการขับถ่ายอุจจาระให้เป็นเวลา งดชา กาแฟ ดื่มน้ำให้เพียงพอ การรับประทานสมุนไพรที่ช่วยเพิ่มกลไกการบีบตัวของลำไส้และการออกกำลังกาย บริหารโยคะหรือฤาษีดัดตน เหล่านี้ก็จะทำให้ลำไส้ของเราทำงานได้เป็นปกติค่ะ อีโมติคอน kiki#นึกถึงสมุนไพรนึกถึงอภัยภูเบศร
21. มะขามป้อม แก้ไอ บำรุงเสียง
Phyllanthus emblica L.
Euphorbiaceae
ไม้ต้น ขนาดกลาง ผลกลม มีเนื้อหนา เส้นผ่าศูนย์กลาง 1.2 – 2 ซม ผลอ่อนสีเขียวอ่อน ผลแก่สีเขียวอมเหลือง เนื้อรับประทานได้ มีรสฝาด เปรี้ยว ขม และอมหวาน
มะขามป้อม ผล รสเปรี้ยว ฝาด หวาน ช่วยแก้ไอ ขับเสมหะ ทำให้ชุ่มคอ ช่วยบำรุงเสียงได้อย่างดี โดยได้มีการทำศึกษาวิจัยยาแก้ไอมะขามป้อมของอภัยภูเบศรและไปนำเสนองานวิจัยที่ประเทศโปรตุเกส ก็ได้รับรางวัลกลับมาน่าภาคภูมิใจ ซึ่งยาแก้ไอมะขามป้อมสามารถช่วยแก้ไอได้ดี เทียบเท่าแอมบรอคซอล แต่ชุ่มคอกว่า
นอกจากประโยชน์ในการแก้ไอ ชุ่มคอแล้ว ในตำรายาของอินเดียระบุให้มะขามป้อม เป็นยาอายุวัฒนะ พบว่าช่วยในการปกป้องตับไม่ให้ตับถูกทำลาย จากการศึกษาพบว่ามะขามป้อมสามารถอสดงฤทธิ์ปกป้องตับด้วยกลไกการต้านปฏิกิริยาออกซิเดชั่น หรือจะพูดง่ายๆคือมรคุณสมบัติเป็นสารต้านอนุมูลอิสระนั่นเอง นอกจากตับยังพบว่าช่วยปกป้องไตได้อีกด้วยนะคะ
มะขามป้อมจัดว่าเป้นสมุนไพรที่มีความปลอดภัยสูง และสามารถนำใช้ประโยชน์ไดมากเลยทีเดียว ทั้งเป็นยารับประทานแก้ไอ ขับเสมหะ รับประทานเป็นยาบำรุงร่างกาย ช่วยเพิ่มภูมิคุ้มกัน ป้องกันหวัดได้ เพราะมีวิตามินซีสูงมากและถูกทำลายยากด้วยความร้อน รวมถึงฤทธิ์ที่ดีในการเป็นสานต้านอนุมูลอิสระปกป้องตับได้ รับปะรทานได้ทั้งเด็กและผู้ใหญ่
ใช้ภายนอกก็ยังได้ประโยชน์จาก AHA ธรรมชาติ ที่ช่วยบำรุงผิวพรรณ ให้ขาวขึ้น กระจ่างขึ้น ผลัดเซลล์ลดฝ้า กระจุดด่างดำได้ โดยอภัยภูเบสรเองก็ได้พัฒนามาอยู่ใมรูปแบบเครื่องสำอางค์ครีมบำรุงผิหน้า เช่น ครีมเอ็มบลิก้าพลัส ค่ะ
#นึกถึงสมุนไพรนึกถึงอภัยภูเบศร